ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs)

หากพูดถึงยากลุ่ม NSAIDs (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs) หรือยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยถึงยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มในนี้รับรองว่าต้องมีคนเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อแน่ (อาทิเช่น แอสไพริน พอนสแตน บรูเฟน โวลทาเรน ฯลฯ) ยากลุ่มนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในทางการแพทย์ เนื่องจากสามารถลดไข้ บรรเทาปวด และลดอาการอักเสบได้ดี ยาหลายตัวยังมีรูปแบบฉีด สำหรับใช้ระงับอาการไข้เฉียบพลันหรืออาการปวดที่รุนแรงได้อย่างรวดเร็ว

ที่มาและการออกฤทธิ์:

ตามปกติ เมื่อเนื้อเยื่อของร่างกายผิดปกติ ถูกโจมตี หรือได้รับบาดเจ็บ ร่างกายจะสร้าง Arachidonic acid ขึ้นมาจาก Phospholipids ที่เยื่อหุ้มเซลล์ โดยอาศัยเอ็นไซม์ Phospholipase A2 จากนั้น Arachidonic acid ก็จะถูกเอ็นไซม์ Cyclooxygenase (COX) และ 5-Lipoxygenase (LOX) เปลี่ยนไปเป็น Prostaglandins และ Leukotrienes ตามลำดับ

Prostaglandins นี่เองที่ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม และมีไข้ (ดูรูปนิ้วมือทางขวาสุด) ยากลุ่มเอ็นเสดออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ Cyclooxygenase จึงทำให้การสร้าง Prostaglandins ลดลง และเป็นที่มาของประสิทธิภาพในการแก้ปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบของยากลุ่มนี้

แต่เอ็นไซม์ Cyclooxygenase ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบมี 2 isoform คือ COX-1 และ COX-2 โดยที่เอ็นไซม์ COX-1 เป็น constitutive form พบในภาวะปกติ มีหน้าที่ดูแลสมดุลของร่างกาย โดยจะเปลี่ยน Arachidonic acid ให้เป็น Thromboxane A2 (TxA2), Prostaglandin E2 (PGE2) และ Prostacyclin (PGI2) ร่วมกันทำหน้าที่ควบคุมการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือดเพื่อมิให้เลือดออกมากเกินไป ควบคุมสมดุลน้ำโดยคุมปริมาณเลือดที่ไปที่ไต และยับยั้งการหลั่งกรดเพื่อไม่ให้ผิวกระเพาะถูกทำลายจากการผิดเวลาอาหาร (ดูตัวอักษรสีเขียว) ในขณะที่เอ็นไซม์ COX-2 เป็น inducible form คือจะทำให้เกิดขบวนการอักเสบเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือผิดปกติ ยากลุ่มเอ็นเสดดั้งเดิมออกฤทธิ์ยังยั้งทั้ง COX-1 และ COX-2 จึงทำให้ไปทำลายสมดุลของร่างกายด้วย ผลคือทำให้เกิดแผลในกระเพาะและเลือดออกในทางเดินอาหาร ทำให้บวมน้ำ เกิดภาวะไตอักเสบ และต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (ดูตัวอักษรสีฟ้า)

ด้วยเหตุนี้ในปลายศตวรรษที่ 20 จึงมีการพัฒนายากลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะเอ็นไซม์ COX-2 ขึ้น โดยหวังจะลดผลข้างเคียงจากยากลุ่มเอ็นเสดเดิม ยากลุ่มใหม่นี้เรียกว่า "ยาต้านค็อกส์ทู" (COX-2 Inhibitors หรือ coxibs) แต่ทว่าภายหลังกลับพบอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดจนถูกถอนทะเบียนยาไปหลายตัวหลังจากวางตลาดได้ไม่นาน ยาที่เหลือในกลุ่มต้านค็อกส์ทูนี้จึงถูกเฝ้าระวังความปลอดภัยมากขึ้น

จะทราบได้อย่างไรว่ายาแก้ปวดที่ใช้เป็นยากลุ่มเอ็นเสดหรือไม่

น่าเสียดายที่ชื่อกลุ่มยามิได้ถูกบังคับให้ต้องตีพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์ยา บนบรรจุภัณฑ์ยากำหนดไว้แต่ว่าต้องระบุชื่อสามัญของยาไว้คู่กับชื่อทางการค้า แต่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ในฉลากยาที่อยู่ภายในกล่องก่อนใช้ ชื่อกลุ่มยาเอ็นเสดอาจเขียนเป็น "NSAID" หรือ "Non-steroidal anti-inflamatory drug" หรือเขียนทับศัพท์เป็นภาษาไทยว่า "เอนเสด", "เอนเซด", "เอ็นเสด", "เอ็นเซด", "เอ็นเสดส์" อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าจะให้ดีควรสอบถามเภสัชกร แพทย์ หรือพยาบาลถึงชื่อกลุ่มยา วิธีใช้ และผลข้างเคียงที่ควรระวังก่อนรับยาแก้ปวดไปใช้ทุกครั้ง

ยาในกลุ่มเอ็นเสดดั้งเดิมมีมากมายหลายขนาน รูปข้างล่างนี้แสดงชื่อกลุ่มย่อยตามสูตรเคมีและชื่อสามัญของยาภายในกลุ่มนั้น ด้วยความหวังว่าจะเป็นข้อมูลบางส่วนให้ผู้ใช้ทราบว่ากำลังใช้ยาในกลุ่มนี้กรณีที่ในฉลากยาไม่ได้ให้รายละเอียดของชื่อกลุ่ม

การใช้ยากลุ่มเอ็นเสดดั้งเดิมที่เหมาะสม

ยาในกลุ่มเอ็นเสดทั้งหมดมีข้อบ่งใช้เหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงความแรงในการออกฤทธิ์ (ซึ่งทำให้ขนาดยาแตกต่างกัน) ความยาวในการออกฤทธิ์ (ซึ่งทำให้วิธีใช้แตกต่างกัน) และความรุนแรง/พบบ่อยของผลข้างเคียง หากจะแจกแจงตามกำไร (= [ประโยชน์ - โทษ] / ราคา) จากมากไปหาน้อยแล้ว ยากลุ่มเอ็นเสดจะมีข้อบ่งใช้ดังนี้

  1. ใช้เพื่อลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้ใช้บรรเทาอาการอักเสบทุกชนิดได้ดีมาก ทั้งการอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน และการอักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะการอักเสบของข้อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคข้ออักเสบในเด็ก (Juvenile idiopathic arthritis), โรค Ankylosing spondylitis
  2. ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด ยากลุ่มเอ็นเสดนี้ลดอาการปวดได้ไม่ดีเท่ากลุ่มนาร์โคติก (Narcotics) แต่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงทางสมอง (ง่วง ซึม กดการหายใจ) และการติดยา อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์แก้ปวดของมันแรงกว่าของยาพาราเซตามอล โดยมันไปยับยั้งการสร้าง Prostaglandins ทั้งที่บริเวณระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย สามารถลดอาการปวดจากข้อเข่าเสื่อม ปวดศีรษะไมเกรน ปวดฟัน ปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องจากนิ่ว ปวดจากมะเร็ง ตลอดจนอาการปวดจากบาดแผลต่าง ๆ หากใช้ในรูปฉีดจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะออกฤทธิ์เร็วและไม่ระคายกระเพาะอาหารเหมือนรูปกิน
  3. ใช้เพื่อลดไข้ ฤทธิ์ในการลดไข้เป็นผลจากการยับยั้งการสร้าง PGE2 ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่อยู่บริเวณ Hypothalamus ส่วนหน้า แต่การลดไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดูจะไม่คุ้มกับผลข้างเคียงและราคายา อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม Salicylates โดยเฉพาะแอสไพรินในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะอาจเกิดกลุ่มอาการ Reye (ตับและสมองอักเสบ) จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
  4. ใช้เพื่อต้านเกล็ดเลือด ยากลุ่มเอ็นเสดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) อย่างถาวรมีเพียงตัวเดียวคือแอสไพริน ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ยาอื่นในกลุ่มนี้แทนแอสไพรินเพื่อป้องกันหลอดเลือดอุดตันได้ รายละเอียดของยาแอสไพรินในการป้องกันและรักษาภาวะภาวะหลอดเลือดอุดตันดูได้ ที่นี่
  5. ใช้เพื่อปิด Ductus arteriosus ยาเอ็นเสด 2 ตัวที่พบว่าสามารถปิด Ductus arteriosus ในทารกได้คือ Indomethacin และ Ibuprofen ในรูปฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ แต่ได้ผลประมาณ 70-80% หากไม่ได้ผลแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดต่อไป

ผลข้างเคียง พิษของยา และข้อควรระวัง

ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ยากลุ่มเอ็นเสดมาพร้อม ๆ กับโทษที่เกิดจากการยับยั้ง Prostaglandins ที่ควบคุมสมดุลของร่างกาย ผลข้างเคียงที่พบบ่อยสุดตามลำดับได้แก่

  1. ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร พบได้ถึง 1 ใน 5 ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ แม้จะรับประทานหลังอาหารทันทีแล้ว อาการมีตั้งแต่แสบกระเพาะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เรอเปรี้ยว ถ่ายเหลว เกิดแผลในกระเพาะและลำไส้ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือดหรือเป็นสีดำ ไปจนถึงกระเพาะและลำไส้ทะลุ ผลข้างเคียงเหล่านี้จะพบมากขึ้นใน
  2. การลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารส่วนต้นที่ดีที่สุดคือการใช้ยาเอ็นเสดร่วมกับยาลดกรดในกระเพาะชนิด Proton pump inhibitors แต่การใช้ยานี้ไม่สามารถจะ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดแก่ระบบทางเดินอาหารส่วนล่างได้

  3. ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ยากลุ่มเอ็นเสดทุกตัวทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำ ในร่างกาย ความดันโลหิตจะสูงขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ส่งผลต่อคนปกติมากนัก ผู้ที่จะเกิดอาการบวมน้ำหรือหัวใจวายมักเป็นผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน
  4. ผลข้างเคียงต่อระบบไตและสมดุลของเกลือแร่ การลดลงของ Prostaglandins ทำให้เลือดไปกรองที่ไตลดลง ค่า creatinine จะสูงขึ้นได้ในวันที่ 3-7 หลังได้รับยา และอาจจะรุนแรงถึงขั้นไตวายเฉียบพลันในผู้ที่มีไตเสื่อมอยู่ก่อน นอกจากนั้นยังอาจเกิดไตอักเสบชนิด interstitial nephritis หรือเกิดกลุ่มอาการ nephrotic syndrome ซึ่งมักจะหายหลังจากหยุดยา
  5. ผลข้างเคียงต่อตับ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะผลเลือดตับผิดปกติ โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการ และหากหยุดยาผลเลือดตับก็มักจะกลับมาเป็นปกติ
  6. ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินหายใจ พบว่าประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการหอบหลังได้รับยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มเอ็นเสดดั้งเดิม เรียกกลุ่มอาการนี้ว่า Aspirin-sensitive asthma หรือ Aspirin-exacerbated respiratory disease (AERD) ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่ยาในกลุ่มเอ็นเสดปิดกั้นไม่ให้ Arachidonic acid เปลี่ยนเป็น Prostaglandins จึงทำให้ Arachidonic acid ถูกเปลี่ยนโดยเอ็นไซม์ Lipoxygenase ไปเป็นสารกลุ่ม Leukotrienes ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดและหลอดลมหดตัวมากขึ้น
  7. ผลข้างเคียงต่อระบบผิวหนัง เกิดจากการแพ้ยา มีตั้งแต่เป็นผื่นแดงไปจนถึงผื่นลอกทั้งตัว
  8. ผลข้างเคียงต่อระบบโลหิต ยาอาจกดไขกระดูกทำให้เกิดไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia), เม็ดเลือดขาวต่ำและเกล็ดเลือดต่ำได้ แต่ผลข้างเคียงดังกล่าวพบไม่บ่อย
  9. ผลข้างเคียงต่อระบบประสาทส่วนกลาง พบไม่บ่อย ที่มีรายงานคือทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง มึนงง สับสน ซึม ซึมเศร้า เห็นภาพหลอน และชัก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อ (Aseptic meningitis) ในผู้ป่วยโรคลูปัสและ Mixed connective tissue ที่ได้รับการรักษาด้วยยากลุ่มเอ็นเสด

ด้วยผลข้างเคียงที่มากมายและมีโอกาสเกิดเพิ่มขึ้นเฉพาะคนดังกล่าว การใช้ยากลุ่มนี้จึงควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งจึงจะเหมาะสมที่สุด ไม่ควรซื้อยากลุ่มนี้ใช้เองเพื่อแก้ปวด-ลดไข้ธรรมดา