ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง
(Antivirals for chronic hepatitis C)

โรคไวรัสตับอักเสบ ซี เป็นปัญหาสาธารณสุขของโลกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง องค์การอนามัยโลกประมาณว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี อยู่ราว 170 ล้านคน โดยอยู่ในประเทศไทยเกือบ 1 ล้านคน ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี เกือบทุกรายไม่มีอาการ แต่จะมีการอักเสบของตับอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ตับค่อย ๆ เสื่อมจนกลายเป็นตับแข็ง (ขณะที่เพียง 20% ของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้นที่จะมีตับอักเสบเรื้อรัง) และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ในอนาคตอันใกล้

ไวรัสตับอักเสบ ซี มีหลายสายพันธุ์ ล่าสุดพบสายพันธุ์ที่ 7 ในกลางทวีปแอฟริกา ในประเทศไทยพบสายพันธุ์ที่ 1 และ 3 อย่างละ 40% รองลงไปเป็นสายพันธุ์ที่ 2 ส่วนสายพันธุ์ที่ 4, 5, 6 นั้นพบน้อย ก่อนเริ่มการรักษาต้องตรวจก่อนว่าเป็นสายพันธุ์อะไร เพราะแต่ละสายพันธุ์มีความยากง่ายในการรักษาแตกต่างกัน

การรักษาไวรัสตับอักเสบ ซี จะใช้ยาอย่างน้อย 2 ขนานร่วมกัน แต่ละประเทศ (หรือแต่ละมหาวิทยาลัยแพทย์ชั้นนำ) ก็มีสูตรยาสำหรับแต่ละสายพันธุ์ออกมาเรื่อย ๆ ตามการวิจัยใหม่ ๆ ซึ่งประเทศไทยอาจตามไม่ทันเพราะยังไม่ทันได้นำเข้ายาเหล่านั้นก็มีสูตรใหม่ออกมาอีก สมาคมโรคตับแห่‹งประเทศไทยให้แนวทางการรักษาไวรัสตับอักเสบ ซี ไว้ตั้งแต่ปี 2558 โดยให้ใช้ Pegylated Interferon ฉีด + Ribavirin กินร่วมกัน

ยา Ribavirin เป็น nucleoside inhibitor ยับยั้งการสร้าง RNA และการทำสำเนารหัสพันธุกรรม (mRNA capping) ของไวรัส ยานี้มีผลทำให้ทารกพิการ แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด ฉะนั้นหญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนต้องได้รับการตรวจการตั้งครรภ์ก่อนรับยา และต้องคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัด (ทั้งตนเองและคู่นอน) ตลอดเวลาที่ใช้ยานี้จนถึง 6 เดือนหลังหยุดยา

กรณีที่เป็นสายพันธุ์ที่ 2, 3, 5 จะใช้เวลาในการรักษานาน 24 สัปดาห์ โอกาสหาย (คือตรวจไม่พบ HCV RNA ในเลือด) ประมาณ 70-80% ส่วนสายพันธุ์ที่ 1, 4, 6 จะใช้เวลารักษานาน 48 สัปดาห์ แต่โอกาสหายมีประมาณ 50% ผู้ที่ไม่หายหรือกลับเป็นซ้ำอาจเริ่มการรักษาใหม่ด้วยยา 3 ขนาน คือ Pegylated interferon, Ribavirin, และ Boceprevir ยา Boceprevir เป็น protease inhibitor ยับยั้งการสร้างโปรตีนของไวรัสก่อนที่ไวรัสจะขดตัวรวมกัน (Assembly) แล้วออกจากเซลล์ การรักษาครั้งใหม่จะใช้เวลา 24-48 สัปดาห์ ขึ้นกับสายพันธุ์และสภาพร่างกายของผู้ป่วย แน่นอนว่าการใช้ยาเพิ่มขึ้นย่อมมีผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการกดไขกระดูก