การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง (Cancer screening)

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง คือ มาตรการในการค้นหาโรคมะเร็งระยะแรกเริ่มในผู้ที่ยังไม่มีอาการของโรค โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและความเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง แต่เนื่องจากวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งของอวัยวะหลายอย่างมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่คุ้มกับการตรวจค้นในคนทั่วไป จึงแนะนำให้ทำเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ส่วนคนทั่วไปให้ตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงของตนเองและเฝ้าระวังอาการของมะเร็งชนิดต่าง ๆ ไว้ แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งของสถาบันมะเร็งแห่งชาติมีดังนี้

มะเร็งเต้านม

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

  1. การตรวจเต้านมด้วยตนเอง หญิงที่อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปควรตรวจเต้านมเองทุกเดือน วิธีการตรวจดูที่นี่ หากพบความผิดปกติให้ตรวจข้อ 2 ต่อ
  2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์
    • หญิงที่อายุตั้งแต่ 30-39 ปี นอกจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำแล้ว ควรได้รับการตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 3 ปี
    • หญิงที่อายุตั้งแต่ 40-69 ปี นอกจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำแล้ว ควรได้รับการตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 1 ปี
    • หญิงที่มีอาการผิดปกติ 8 ข้อข้างต้น ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทั้งหมด

    หากพบความผิดปกติ แพทย์จะส่งทำข้อ 3 ต่อ

  3. การทำอัลตราซาวด์และแมมโมแกรม
    • หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ที่มีปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านมข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ควรตรวจอัลตราซาวด์และแมมโมแกรมของเต้านม ทุก 1 ปี
    • หญิงอายุตั้งแต่ 40-69 ปีทุกคน แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจอัลตราซาวด์และแมมโมแกรมของเต้านม ทุก 1-2 ปี

    หากพบความผิดปกติ แพทย์จะส่งตรวจชิ้นเนื้อ หรือนัดตรวจซ้ำถี่กว่านั้น

  4. การตรวจเลือดหายีน BRCA1 & BRCA2 หญิงที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหลายคน หรือมีญาติเคยเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง

มะเร็งปากมดลูก

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

  1. การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) หญิงอายุ 30-65 ปี ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรตรวจแปปสเมียร์ ทุก 2-3 ปี ตามปัจจัยเสี่ยงของตน
  2. การตรวจหาไวรัส HPV (HPV DNA testing) หญิงอายุ 30-65 ปี ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว แม้จะเคยฉีดวัคซีน HPV ควรตรวจหาไวรัส HPV ทุก 3-5 ปี ตามปัจจัยเสี่ยงของตน
  3. การตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ หญิงทุกรายที่มีอาการข้างต้น
  4. การส่องกล้องตรวจความผิดปกติของปากมดลูก (Colposcopy) หญิงทุกรายที่ผลตรวจแปปสเมียร์ผิดปกติ หากส่องแล้วสงสัยแพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจด้วย

หญิงที่ตัดมดลูกพร้อมกับปากมดลูกออกแล้ว และไม่มีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูก ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองข้อ 1-2 ส่วนหญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ให้พิจารณาตรวจข้อ 1-2 ตามความสมัครใจ

มะเร็งต่อมลูกหมาก

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก

  1. การตรวจดัชนีทำนายก้อน PSA (Prostate-specific antigen)
    • ชายที่อายุ 50-80 ปี และเริ่มมีอาการข้างต้น ควรตรวจเลือดคัดกรองค่า PSA ทุก 1 ปี
    • ชายที่อายุ 45-80 ปี ที่มีประวัติมะเร็งต่อมลูกหมากในครอบครัว แต่ยังไม่มีอาการ ควรตรวจเลือดคัดกรองค่า PSA ทุก 2-3 ปี หากมีอาการแล้วอาจตรวจทุก 6 เดือน - 1 ปี
  2. การตรวจทางทวารหนัก (Digital rectal examination) ชายที่มีอาการข้างต้น ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกราย
  3. การตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก (Biopsy) ชายที่มีค่า PSA > 4 ng/mL หรือผลตรวจทางทวารหนักพบว่าต่อมลูกหมากปกติ

อาการต่อมลูกหมากโตกับมะเร็งต่อมลูกหมากระยะเริ่มต้นคล้ายกัน แยกจากกันที่ดัชนีทำนายก้อน PSA การตรวจทางทวารหนัก และการตัดชิ้นเนื้อ

มะเร็งตับ

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งตับ

  1. การตรวจเลือดหาค่า Alfa-fetoprotein (AFP)
    • ผู้ที่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีไวรัสตับอักเสบเรื้อรังแต่ยังไม่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 1 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว ควรตรวจทุก 1-2 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 1 ปี
    • ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีปัจจัยเสี่ยงข้อ 4-5 ควรตรวจทุก 1-2 ปี

    AFP ค่าปกติ < 20 ng/mL วินิจฉัยมะเร็งตับถ้า > 200 ng/ml ค่าระหว่าง 20-100 ng/mL ให้ใช้วิธีติดตามค่า หรือไปตรวจข้อ 2. กรณีที่สงสัยหรือกลัวมาก ค่าระหว่าง 100-200 ng/mL ให้ไปตรวจข้อ 2.

  2. การตรวจอัลตราซาวด์ตับและท่อน้ำดี
    • ผู้ที่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีไวรัสตับอักเสบเรื้อรังแต่ยังไม่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 1 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว ควรตรวจทุก 1-2 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 1 ปี
    • ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีปัจจัยเสี่ยงข้อ 4-5 ควรตรวจทุก 1-2 ปี
    • ผู้ที่มีอาการข้างต้นทุกราย
    • ผู้ที่มีค่า AFP ผิดปกติ
    • ผู้ป่วยตับแข็งที่พบก้อนที่ตับ ขนาด < 1 cm ให้ติดตามอัลตราซาวด์ทุก 3-4 เดือน ถ้าโตขึ้นให้ไปตรวจข้อ 3.
  3. การตรวจซีที (CT-scan) หรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) ช่องท้อง
    • อัลตราซาวด์พบก้อนที่ตับ ขนาด > 1 cm
    • ค่า AFP > 200 ng/mL หรือค่า AFP เพิ่มสูงอย่างชัดเจนในระหว่างการตรวจติดตามผล แต่อัลตราซาวด์ไม่พบก้อน

หากคิดว่าอายุขัยจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 10 ปี ไม่ต้องตรวจคัดกรอง

มะเร็งท่อน้ำดี

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดี

  1. การตรวจอุจจาระหาพยาธิใบไม้ในตับ (Opisthochis Viverini)
    • ผู้ที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ควรสุ่มตรวจอุจจาระทุก 1 ปี
    • ผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ควรสุ่มตรวจอุจจาระทุก 1 ปี
    • ผู้ที่เคยกินปลาน้ำจืดดิบ ควรสุ่มตรวจอุจจาระทุก 6 เดือน

    หากตรวจพบควรรักษาให้หายขาด จากนั้นให้ระวังการติดเชื้อซ้ำโดยสุ่มตรวจอุจจาระเป็นประจำ

  2. การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ (Liver function test, LFT)
    • ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเลือดดูการทำงานของตับพร้อมการตรวจสุขภาพทั่วไป ทุก 1-3 ปี
    • ผู้ที่เคยตรวจอุจจาระพบพยาธิใบไม้ในตับ แม้จะรักษาหายแล้ว ควรตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ทุก 1 ปี
    • ผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ควรตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ทุก 1 ปี
  3. หากพบความผิดปกติ แพทย์จะส่งตรวจข้อ 3. ต่อ

  4. การตรวจอัลตราซาวด์ตับและท่อน้ำดี
    • ผู้ที่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง หรือมีโรคของท่อน้ำดี แต่ยังไม่เป็นตับแข็ง ควรตรวจทุก 1 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีประวัติมะเร็งท่อน้ำดีในครอบครัว ควรตรวจทุก 1 ปี หากอายุเกิน 40 ปี ควรตรวจทุก 6 เดือน
    • ผู้ที่มีอาการข้างต้นทุกราย
    • ผู้ที่มีค่า AFP หรือ LFT ผิดปกติ

หากคิดว่าอายุขัยจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 10 ปี ไม่ต้องตรวจคัดกรอง

มะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

  1. การตรวจทวารหนักโดยแพทย์ (Digital rectal examination) ควรทำในผู้ที่มีอาการข้างต้นทุกราย
  2. การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Fecal occult blood test, FOBT)
    • ผู้ที่อายุ 50-75 ปี ควรตรวจทุก 1 ปี
    • ผู้ที่มีโลหิตจางที่หาสาเหตุไม่ได้
    • ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรสุ่มตรวจ ทุก 1 ปี
    • ผู้ที่เคยเป็นติ่งเนื้องอก adenomatous polyps ภายหลังตัดติ่งเนื้องอกออกหมดแล้ว ควรสุ่มตรวจ ทุก 1 ปี
    • ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และได้รับการรักษาแล้ว ควรสุ่มตรวจ ทุก 6 เดือน - 1 ปี (แล้วแต่ระยะของโรค)
  3. การเอกซเรย์สวนทวารหนัก (Double-contrast barium enema)
    • ผู้ที่อายุ 50-75 ปี ควรตรวจทุก 5 ปี
    • ผู้ที่ควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่แต่ทำไม่ได้
    • ผู้ที่เคยเป็นติ่งเนื้องอก adenomatous polyps ภายหลังตัดออกหมดแล้ว อาจเอกซเรย์สวนทวาร ทุก 3-5 ปี
  4. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy, Flexible sigmoidoscopy)
    • ผู้ที่อายุ 50-75 ปี ควรตรวจทุก 5 ปี
    • ผู้ที่เคยเป็นติ่งเนื้องอก adenomatous polyps ภายหลังตัดติ่งออกหมดแล้ว อาจส่องกล้องซ้ำ ทุก 3-5 ปี
    • ผู้ที่เป็น ulcerative colitis หรือ Crohn’s disease ควรส่องกล้องและสุ่มตัดชิ้นเนื้อ ทุก 1-3 ปี (เป็นโรคมา 10 ปี ทำทุก 3 ปี, เป็นโรคมา 20 ปี ทำทุก 2 ปี, เป็นโรคมา 30 ปี ทำทุก 1 ปี)
    • ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ < 60 ปี ควรเริ่มส่องตั้งแต่อายุที่น้อยกว่าคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งลำไส้ 10 ปี ทุก 3-5 ปี, ถ้าญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ > 60 ปี ควรเริ่มส่องตั้งแต่อายุ 40 ปี ถ้าปกติ ไปเข้าโปรแกรมตรวจทุก 3-5 ปี เมื่ออายุ 50 ปี
    • ผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยงมะเร็ง
      • FAP ที่ negative genetic test ควรตรวจ Flexible sigmoidoscopy ทุก 7-15 ปี จนอายุ 40 ปี หลังจากนั้น Colonoscopy ทุก 5 ปี
      • FAP ที่ Positive genetic test หรือ ไม่สามารถตรวจ Genetic test ได้ หรือเป็นบุตรของผู้ป่วย FAP ควรตรวจ Flexible sigmoidoscopy ทุก 1 ปี เริ่มอายุ 10-12 ปี จนอายุ 40 ปี หลังจากนั้นทุก 3-5 ปี ถ้าพบ polyp พิจารณา colectomy
      • HNPCC หรือ PJS ควรตรวจ Colonoscopy ทุก 2 ปี เริ่มตั้งแต่อายุ 20-25 ปี หลังอายุ 40 ปี ทำ colonoscopy ทุก 1 ปี
  5. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (CT colonography, CTC, virtual colonoscopy) ซึ่งทำได้เพียงบางสถาบัน
    • ผู้ที่ควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่แต่ทำไม่ได้
    • ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และได้รับการรักษาแล้ว อาจตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ ทุก 1-2 ปี (แล้วแต่ระยะของโรค)

ไม่แนะนำให้ตรวจดัชนีทำนายก้อน CEA ในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ แม้จะมีพันธุกรรมมะเร็ง เพราะค่า CEA ไม่จำเพาะต่อมะเร็ง อาจขึ้นได้จากยา อาหารเสริม เนื้องอกไม่ร้าย การสูบบุหรี่ การติดเชื้อ การอักเสบ ฯลฯ

มะเร็งปอด

ปัจจัยเสี่ยง

อาการของโรค

แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

หลังจากที่พบว่าการตรวจคัดกรองด้วยภาพถ่ายรังสีทรวงอกธรรมดา (chest x-ray) และการตรวจหาเซลล์มะเร็งจากเสมหะ (sputum cytology) ไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด ปัจจุบันจึงแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย low-dose CT scan (ใช้ปริมาณรังสีเพียง 2 mSv เมื่อเทียบกับ 7 mSv ของ CT scan ปกติ) ทุก 1 ปี ในประชากรกลุ่มเสี่ยง ดังนี้

  • ผู้มีอายุ 55–74 ปี ที่สูบบุหรี่ตั้งแต่ 30 pack years ขึ้นไป และยังหยุดสูบมาไม่ถึง 15 ปี
  • ผู้มีอายุ 50–74 ปี ที่สูบบุหรี่ตั้งแต่ 20 pack years ขึ้นไป และมีความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดข้ออื่นนอกเหนือจากบุหรี่ เช่น สัมผัส radon, asbestos, หรือสารก่อมะเร็งอื่น ๆ, เป็นโรคปอดเรื้อรัง, มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอด เป็นต้น

มะเร็งนอกเหนือจากที่กล่าวมายังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรอง

บรรณานุกรม

  1. "แนวทางการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (14 พฤษภาคม 2563).
  2. ผศ.ดร.นพ.อภิชาติ ตันตระวรศิลป์. "มะเร็งปอด (Lung Cancer)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (16 พฤษภาคม 2563).