การเกิดเนื้องอก
ก้อนเนื้อผิดปกติที่เกิดขึ้นในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่มากเกินไป (ไม่ใช่การติดเชื้อ จึงไม่ใช่โรคติดต่อ) การแบ่งตัวนี้มี 2 ชนิด คือ
-
การแบ่งตัวแบบช้า — เนื้องอกไม่ร้าย (benign tumor)
เซลล์แบ่งตัวช้า แทบไม่ทำลายเซลล์ปกติข้างเคียง และไม่แทรกเข้าไปในหลอดเลือดหรือท่อน้ำเหลือง จึงไม่ค่อยแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ลักษณะการเติบโตมักเป็นก้อนที่ขอบเขตชัดเจน ตัวอย่างเช่น Fibroadenoma ของเต้านม, Follicular adenoma ของต่อมไทรอยด์, Myoma ของมดลูก, Mixed tumor ของต่อมน้ำลาย, Lipoma ของเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนัง เป็นต้น
-
การแบ่งตัวแบบเร็ว — เนื้องอกร้าย (malignant tumor; มะเร็ง)
เซลล์แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แทรกและทำลายเซลล์ปกติข้างเคียงได้ รวมทั้งสามารถแทรกเข้าไปในหลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง ซึ่งเลือดและน้ำเหลืองอาจพาเซลล์เหล่านี้ไปยังอวัยวะห่างไกลจนเกิดเป็นก้อนใหม่ได้ มะเร็งสามารถแบ่งตามชนิดของเซลล์ต้นกำเนิดเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
- Carcinoma — มะเร็งที่มาจากเซลล์เยื่อบุผิว (พบมากที่สุด)
- Sarcoma — มะเร็งที่มาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น ไขมัน กล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก กระดูกอ่อน
- Lymphoma — มะเร็งที่มาจากเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองและเนื้อเยื่อของระบบภูมิคุ้มกัน
- Leukemia — มะเร็งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก
- Melanoma — มะเร็งที่มาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) บนผิวหนัง
ความจริงเนื้องอกไม่ร้ายพบมากกว่าเนื้องอกร้ายหลายเท่า และสามารถเกิดได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยชรา แต่เราอาจไม่สนใจนัก เพราะรักษาได้ไม่ยากและรอได้หากยังไม่อยากรักษา ผิดกับมะเร็งที่รักษาได้เฉพาะในระยะเริ่มต้นเท่านั้น
ปัจจัยภายใน
การเกิดเนื้องอก โดยเฉพาะมะเร็ง มักมีปัจจัยภายในร่างกายเป็นตัวตั้งมากกว่าปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในที่สำคัญได้แก่
- ยีนที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ ซึ่งมี 2 กลุ่ม คือ
- ยีนยับยั้งการแบ่งเซลล์ (tumor suppressor gene) เช่น ยีน p53 ซึ่งมีบทบาทในการตรวจสอบความเสียหายของดีเอ็นเอ เมื่อพบความเสียหาย p53 จะหยุดการไหลเวียนของเซลล์ในระยะ G1 เพื่อซ่อมแซม DNA หากความเสียหายรุนแรงเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ p53 จะกระตุ้นให้เซลล์ตาย (apoptosis) การขาดหรือการทำงานผิดปกติของยีนกลุ่มนี้จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์และการเกิดมะเร็ง
- ยีนกระตุ้นการแบ่งเซลล์ (oncogenes) ยีนกลุ่มนี้ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ เมื่อแสดงออกมากเกินไปหรือถูกเปิดใช้งานผิดปกติ จะทำให้เซลล์แบ่งตัวโดยไม่หยุด
- ระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล เซลล์มะเร็งมักสร้างโปรตีนหรือแอนติเจนที่ระบบภูมิคุ้มกันสามารถตรวจจับได้ (เช่น Tumor Associated Antigens หรือ Tumor Specific Transplantation Antigens) หากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถตรวจจับหรือทำลายเซลล์เหล่านี้ได้ เซลล์มะเร็งจะสามารถเติบโตต่อไปได้
- เชื้อชาติ อายุ กรรมพันธุ์ และเพศ เนื้องอกบางชนิดพบได้บ่อยในเชื้อชาติหรือช่วงอายุเฉพาะ เช่น Sarcoma มักพบในผู้เยาว์ ในขณะที่ Carcinoma มักพบในผู้สูงอายุ บางมะเร็งเป็นโรคของเด็กเท่านั้น เช่น Retinoblastoma ยีนที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ เช่น BRCA1/BRCA2 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและรังไข่ นอกจากนี้เพศก็มีผล เช่น มะเร็งเต้านพบบ่อยในเพศหญิง ขณะที่มะเร็งปอดและมะเร็งตับพบได้บ่อยในเพศชาย
- รอยโรคตั้งต้น (precancerous lesion) เช่น ไฝดำ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือแผลที่หลอดอาหารจากกรดไหลย้อนเรื้อรัง รอยโรคเหล่านี้มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งได้ในอนาคต
แม้ปัจจัยภายในบางอย่างจะดูเหมือนควบคุมไม่ได้ แต่แนวคิดในศาสตร์การแพทย์บางสำนักชี้ว่าเราสามารถเสริมระบบภายในของร่างกายได้ด้วยการดูแลตนเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่น การจัดการความเครียด การยอมรับและพอใจในชีวิต ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ให้เป็นปกติ
ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก ตัวอย่างปัจจัยภายนอกที่สำคัญได้แก่
- บุหรี่ เป็นสารก่อมะเร็งสำคัญและเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดเรื้อรังหลายชนิด
- สุรา เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งตับจากโรคตับแข็ง และยังเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ
- เนื้อสัตว์ที่ปิ้งจนเกรียม อาจมีสารที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งของทางเดินอาหาร
- อาหารปนเปื้อนอะฟลาทอกซิน (aflatoxin) เช่น ถั่วลิสงบดที่เก็บไม่เหมาะสม
- การติดเชื้อบางชนิด เช่น ไวรัส HPV, Epstein–Barr virus, โรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง, HIV, แบคทีเรีย H. pylori, พยาธิใบไม้ในตับ เป็นต้น
- สารเคมีบางชนิด เช่น แร่ใยหิน (asbestos), ไดออกซิน (dioxin), สารหนู (arsenic), เบนซีน, นิเกิล, แคดเมียม, โครเมียม, ไวนิลคลอไรด์ เป็นต้น
- รังสีบางชนิด เช่น รังสีแกมมา อนุภาคแอลฟา รังสีเอกซ์ หรือรังสียูวี เมื่อได้รับในปริมาณมากสามารถเพิ่มความเสี่ยงได้
- วิถีชีวิตในเมือง การเร่งรีบ พักผ่อนน้อย กินผักผลไม้น้อย และขาดการสัมผัสธรรมชาติ อาจส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อสะสมเป็นเวลานาน
ปัจจัยเหล่านี้มักเพิ่มความเสี่ยงเมื่อสัมผัสเป็นเวลานาน แต่การสัมผัสนานไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะเกิดเนื้องอกเสมอไป เพราะปัจจัยภายในและการตอบสนองของร่างกายยังมีบทบาทสำคัญ