มะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal cancer)
หลอดอาหารเป็นท่อกลวงยาวประมาณ 10 นิ้ว พาดตัวในแนวดิ่งบริเวณด้านหลังของทรวงอก หน้ากระดูกสันหลัง ผนังหลอดอาหารประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบที่บีบตัวเป็นระลอกคลื่น เพื่อส่งอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร
บริเวณที่หลอดอาหารตีบแคบมี 3 จุดสำคัญ ได้แก่:
- จุด A: หูรูดส่วนบน ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อาหารไหลย้อนกลับ
- จุด B: บริเวณที่หลอดอาหารถูกพาดผ่านโดยเส้นเลือดแดงเอออร์ต้าและแขนงของหลอดลมใหญ่ซ้าย
- จุด C: ตำแหน่งที่หลอดอาหารลอดผ่านกระบังลมเข้าสู่ช่องท้อง ซึ่งตรงกับตำแหน่งของหูรูดระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร
การกลืนอาหารชิ้นใหญ่เกินไปอาจทำให้จุกแน่นที่คอหรือหน้าอก เพราะกล้ามเนื้อบริเวณที่ตีบอาจคลายตัวไม่ทัน
เนื้องอกที่เกิดในหลอดอาหารส่วนใหญ่เป็นมะเร็ง เนื้องอกไม่ร้ายแรงพบได้ค่อนข้างน้อย เช่น leiomyoma, squamous cell papilloma, granular cell tumor, inflammatory pseudotumor, adenoma, hemangioma, neurofibroma, schwannoma, rhabdomyoma, lipoma, choristoma, amyloid tumor และ hamartoma โดยบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งหลอดอาหาร
มะเร็งหลอดอาหารเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง เนื่องจากมักตรวจพบเมื่อโรคลุกลามแล้ว โดยทั่วโลกมะเร็งชนิดนี้ติดอันดับ 8 ของมะเร็งที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งลำดับที่ 6
ปัจจัยเสี่ยง
มะเร็งหลอดอาหารมักพบในคนเอเชียที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป และพบในเพศชาย 3-4 เท่าของเพศหญิง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
- ภาวะที่หลอดอาหารสัมผัสกรดจากกระเพาะอาหารซ้ำ ๆ เช่น กรดไหลย้อน (GERD), Barrett’s esophagus, Zollinger-Ellison syndrome, Scleroderma เป็นต้น
- ภาวะที่อาหารตกค้างในหลอดอาหาร เช่น Achalasia, Plummer-Vinson syndrome, Hiatal hernia หรือหลอดอาหารตีบจากสาเหตุต่าง ๆ
- โรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น Tylosis, Celiac sprue
- ประวัติการฉายรังสีบริเวณทรวงอกตั้งแต่วัยเด็ก
- เคยเป็นมะเร็งปอด ช่องปาก หรือบริเวณศีรษะและลำคอ
- การติดเชื้อ Human papillomavirus (HPV) และเชื้อราที่หลอดอาหาร
- เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วนหรือทั้งหมดมากกว่า 20 ปี
- การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- การดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ
ชนิดของมะเร็งหลอดอาหาร
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
- Squamous cell carcinoma: พบได้ทั่วหลอดอาหาร โดยเฉพาะส่วนกลางและบน มีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ พยากรณ์โรคไม่ดีหากตรวจพบช้า
- Adenocarcinoma: พบที่รอยต่อระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุ (จาก squamous cells เป็น gland cells) เช่น ภาวะ Barrett’s esophagus หรือภาวะที่หลอดอาหารสัมผัสกรดจากกระเพาะเป็นประจำ พยากรณ์โรคดีกว่าหากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ และสามารถผ่าตัดได้
อาการของมะเร็งหลอดอาหาร
ในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการ เนื่องจากมะเร็งจะลุกลามลงในผนังมากกว่าจะโตยื่นเข้าไปในหลอดอาหาร จึงมักตรวจพบเมื่อโรคลุกลามแล้ว อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- กลืนอาหารไม่ลง คนไข้จะรู้สึกว่ามันติดอยู่ในทรวงอก แล้วสักพักจะขย้อนกลับออกมา โดยอาการจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกจะเป็นเฉพาะกับอาหารแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ ขนมปัง หรือผัก ต่อมาเมื่อก้อนมะเร็งโตไปอุดตันหลอดอาหารทั้งหมดก็จะกลืนไม่ลงไม่ว่าจะเป็นของที่บดแล้วหรือน้ำก็ตาม
- รู้สึกปวดตื้อ ๆ หรือแสบร้อนในทรวงอก อาจปวดที่กระดูกซี่โครงส่วนบนหรือในลำคอ
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด สำลักบ่อย เสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก
- เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ถ่ายอุจจาระสีดำจากเลือดในหลอดอาหาร
- คลำได้ก้อนแข็งบริเวณคอจากต่อมน้ำเหลืองที่โต
การวินิจฉัยมะเร็งหลอดอาหาร
ยังไม่มีวิธีคัดกรองในคนทั่วไป ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะ Barrett's esophagus ซึ่งต้องเริ่มส่องกล้องและตรวจชิ้นเนื้อเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยแนวทางติดตามขึ้นอยู่กับผลตรวจว่าเป็น no dysplasia, low-grade หรือ high-grade dysplasia
ในผู้สูงอายุที่มีอาการสงสัย มักวินิจฉัยด้วย:
- EGD (การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน): เพื่อตรวจดูหลอดอาหารและเก็บชิ้นเนื้อ
- CT scan: ตรวจดูการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะใกล้เคียง
- PET-CT: ตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งทั่วร่างกาย
- Endoscopic ultrasound (EUS): ประเมินความลึกของก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง
การรักษามะเร็งหลอดอาหาร
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยมีทางเลือกหลักดังนี้:
- การผ่าตัด โดยตัดหลอดอาหารออกและดึงกระเพาะอาหารขึ้นไปต่อกับส่วนที่เหลือของหลอดอาหาร บางกรณีอาจต้องให้เคมีบำบัดและฉายแสงก่อนผ่าตัด เพื่อให้มะเร็งยุบตัว
หากผ่าตัดไม่ได้ อาจใช้วิธีอื่น เช่น ใส่สายให้อาหารผ่านหน้าท้อง, ขยายหลอดอาหาร, ใส่ท่อถ่าง, ทำ Bypass, หรือเลเซอร์ทำลายก้อนมะเร็ง
หลังผ่าตัดต้องฝึกการไอเพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบ
- การฉายแสง อาจมีผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย ผื่นแดงและแห้ง เจ็บคอ ไอ หรือหายใจลำบาก
- เคมีบำบัด มักใช้หลังผ่าตัดหรือในระยะลุกลาม อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผมร่วง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หรือเจ็บปาก ซึ่งมักหายไปหลังหยุดยา
- การรักษาอื่น ๆ เช่น การให้ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าแต่ราคาสูง และการใช้แสงกระตุ้นยาเคมี (Photodynamic therapy, PDT) สำหรับรักษาระยะเริ่มต้นหรือ Barrett’s esophagus
โดยรวม มะเร็งหลอดอาหารถือเป็นมะเร็งที่รักษาได้ยาก เนื่องจากตำแหน่งลึก เข้าถึงยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในภาวะขาดสารอาหาร จึงต้องเตรียมตัวทั้งทางร่างกายและจิตใจก่อนการรักษา รวมถึงติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะมะเร็งชนิดนี้กลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย
สรุป
มะเร็งหลอดอาหารเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง โดยเฉพาะหากตรวจพบในระยะลุกลาม ชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ squamous cell carcinoma และ adenocarcinoma ซึ่งมีลักษณะและปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิต การเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีกรดไหลย้อนเรื้อรังหรือ Barrett’s esophagus จึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคนี้