มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer)

มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยเป็นอันดับสาม รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด โดยพบมากในประชากรเมือง ปัจจัยที่ทำให้เกิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยพบว่ามี พันธุกรรม เกี่ยวข้อง เช่น มีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีโรคที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อตั้งแต่กำเนิด หรือมีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ชาวยิว และชาวยุโรปตะวันออก

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่

  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น Ulcerative colitis หรือ Crohn's disease
  • มีติ่งเนื้อ (Polyps) ในลำไส้ใหญ่
  • อายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี
  • บริโภคเนื้อแดง เนื้อแปรรูป หรืออาหารที่ปิ้ง ย่าง ทอดบ่อยเกินไป
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ภาวะอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน)

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ จนเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจึงเริ่มแสดงอาการ อาการที่พบบ่อยได้แก่

หากมะเร็งลุกลามมากขึ้น อาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องโตผิดปกติ หรือปวดท้องอย่างรุนแรงจากการอุดตันของลำไส้

วิธีตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่

การวินิจฉัยเริ่มจาก:

  • การตรวจเลือดและอุจจาระ เช่น ตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (FOBT)
  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) พร้อมตัดชิ้นเนื้อเพื่อพิสูจน์
  • การตรวจด้วย CT scan, MRI หรือ PET scan เพื่อประเมินระยะของโรค

ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ ลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ และ ลำไส้ตรง ซึ่งมักสัมพันธ์กับอาการอุดกั้นของลำไส้



ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักตามการลุกลามของโรค:

  • ระยะที่ 0: มะเร็งอยู่เฉพาะชั้นเยื่อบุ (carcinoma in situ) ยังไม่ลุกลามผ่านชั้น basement membrane
  • ระยะที่ 1: ลุกลามเข้าสู่ผนังลำไส้ แต่ยังไม่แพร่ออกนอกลำไส้
  • ระยะที่ 2: ลุกลามทะลุผนังลำไส้หรือไปอวัยวะข้างเคียง แต่ยังไม่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ 3: กระจายไปต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ 4: แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ตับ หรือปอด

การรักษา

ลำไส้ใหญ่สามารถตัดออกได้เป็นท่อนยาว ๆ จึงมีโอกาสรักษาหายได้หากโรคยังไม่แพร่กระจาย กรณีที่มะเร็งอยู่ที่ลำไส้ตรงหรือทวารหนัก การตัดต่ออาจทำได้ยาก ศัลยแพทย์อาจต้องยกปลายลำไส้ขึ้นมาเปิดที่หน้าท้องเป็นทวารเทียม อย่างไรก็ตาม ทวารเทียมไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

แนวทางการรักษาขึ้นกับระยะของโรค:

  • ระยะที่ 0: ตัดติ่งเนื้อหรือรอยโรคร่วมกับเนื้อเยื่อข้างเคียงเล็กน้อยก็เพียงพอ
  • ระยะที่ 1: ผ่าตัดลำไส้ส่วนที่มีมะเร็งออก พร้อมตัดเนื้อเยื่อสองข้างแล้วต่อใหม่ อัตราการอยู่รอด 5 ปีสูงถึง 93%
  • ระยะที่ 2-3: ต้องผ่าตัดลำไส้พร้อมเลาะต่อมน้ำเหลือง และให้เคมีบำบัดร่วมกับรังสี (กรณีมะเร็งที่ทวารหนัก) อัตราการอยู่รอด 5 ปีในระยะ 2A สูงถึง 78%
  • ระยะที่ 4: มุ่งควบคุมโรค เช่น เคมีบำบัด ผ่าตัดเฉพาะจุดที่จำเป็น หรือการรักษาแบบประคับประคอง

การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

แม้ไม่สามารถเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมหรืออายุได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงผ่านการปรับพฤติกรรมได้ เช่น

  • รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีใยอาหารสูง
  • ลดเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • เข้ารับการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากมีความเสี่ยงสูง

การผ่าตัดติ่งเนื้อชนิด adenomatous polyps หรือการตัดลำไส้ในโรค ulcerative colitis ก็สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในอนาคตได้

สรุป

มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคร้ายที่สามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โอกาสหายขาดก็สูง การดูแลสุขภาพ ปรับพฤติกรรม และตื่นตัวกับอาการผิดปกติจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้