เนื้องอกไม่ร้ายที่กล่องเสียง (Benign laryngeal tumors)

กล่องเสียงเป็นอวัยวะสำคัญของทางเดินหายใจ ทำหน้าที่หลักในการเปล่งเสียง โครงสร้างประกอบด้วย
- ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) เป็นกระดูกอ่อนที่ปิดหลอดลมขณะกลืนอาหาร
- กระดูกอ่อนอีก 8 ชิ้น ที่ช่วยป้องกันการกระแทกและเป็นจุดยึดเกาะของสายเสียง
- ข้อต่อ 1 คู่ (cricoarytenoid joints) ช่วยควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของสายเสียง
- สายเสียง (vocal folds/cords) 2 เส้น ขึงเป็นมุมแหลมทางด้านหน้า
- กล้ามเนื้อ 3 กลุ่ม ที่ทำหน้าที่หุบ-กาง และยืด-หดสายเสียง
- เยื่อบุ เส้นเลือด เส้นประสาท และระบบน้ำเหลือง ที่ช่วยหล่อเลี้ยงและควบคุมการทำงาน

กล่องเสียงแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Supraglottis: ส่วนเหนือสายเสียงไปจนถึงฝาปิดกล่องเสียง
  2. Glottis: ส่วนของสายเสียงและเอ็นที่กั้นระหว่าง Supraglottis กับ Subglottis
  3. Subglottis: ส่วนใต้สายเสียงลงไปจนถึงขอบล่างของกระดูก Cricoid ก่อนต่อกับหลอดลม

โครงสร้างของสายเสียง

สายเสียงประกอบด้วย 5 ชั้นสำคัญ ดังนี้

  1. Squamous epithelium: เยื่อบุชั้นนอกสุด ควบคุมความชื้น
  2. Basement membrane: เยื่อบาง ๆ คั่นระหว่างเยื่อบุผิวกับเนื้อเยื่อชั้นล่าง
  3. Superficial lamina propria (Reinke's space): ชั้นคล้ายเบาะกันกระแทก มี gelatin, fibrous และ elastic matrix
  4. Vocal ligament: เอ็นแข็งแรง แบ่งเป็น 2 ชั้น — ชั้นบนเป็น elastin (Intermediate lamina propria) และชั้นล่างเป็น fibroblast และ collagen (Deep lamina propria)
  5. Vocalis muscle: กล้ามเนื้อหนา อยู่แกนในสุด ทำหน้าที่เป็นโครงหลัก

เมื่อเปล่งเสียง ชั้นที่ 1–3 จะสั่นและเกิดเสียง ชั้นที่ 4 ทำหน้าที่ควบคุมการสั่นไม่ให้มากเกินไป ส่วนชั้นที่ 5 เป็นแกนหลักของสายเสียง



ความผิดปกติที่กล่องเสียงมีทั้งที่เป็นเนื้องอกและไม่ใช่เนื้องอก เช่น การอักเสบเรื้อรังหรือการบาดเจ็บ แต่เนื้องอกส่วนใหญ่ที่พบเป็นชนิดไม่ร้าย โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้เสียงมาก เช่น ครู นักร้อง หรือพิธีกร สาเหตุหลัก ได้แก่:

  • การใช้เสียงมากเกินไป หรือผิดวิธี (phonotrauma): เช่น ตะโกน พูดเสียงดังนาน ร้องเพลงผิดเทคนิค
  • การสูบบุหรี่/ควันบุหรี่: ทำให้ระคายเคืองเรื้อรัง และเกิดการบวมน้ำของชั้น Reinke’s
  • กรดไหลย้อนขึ้นคอ (LPR/GERD): กระตุ้นการอักเสบ เกิด granuloma, polyp
  • การติดเชื้อไวรัส HPV: ทำให้เกิด laryngeal papillomatosis
  • สิ่งแวดล้อม: อากาศแห้ง ฝุ่นควัน สารเคมี
  • ฮอร์โมน/อายุ/เพศ: Reinke’s edema มักพบในสตรีวัยกลางคนที่สูบบุหรี่; เด็กเล็กอาจพบ hemangioma/papillomatosis
  • การใส่ท่อช่วยหายใจ/การผ่าตัด/ไอเรื้อรัง: ทำให้เสี่ยงเกิด granuloma, polyp, cyst

ชนิดของเนื้องอกไม่ร้าย

1. ตุ่มคู่ที่สายเสียง (Vocal nodules)

เป็นตุ่มคู่สีขาวเล็ก ๆ ที่ด้านในของสายเสียงทั้งสองข้าง ตำแหน่งของตุ่มจะสมมาตรกันพอดี มักพบในเด็กและสตรี เกิดจากการใช้เสียงสูงมากเกินไป การสูบบุหรี่ หรือการมีกรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมา ทำให้มีการบวมของสายเสียงชั้นนอกสุด และเกิดอาการเสียงขาดหรือเสียงแหบ ถือเป็นภาวะที่ไม่อันตราย สามารถหายหรือยุบลงเองได้ถ้าสาเหตุถูกกำจัดออกไป

2. ติ่งเนื้อที่สายเสียง (Vocal polyp)

เป็นติ่งเนื้อที่มีก้านเล็ก ๆ ห้อยติดกับสายเสียง มักเป็นข้างเดียว พบบ่อยในเพศชาย เกิดจากการใช้เสียงมากเกินไป หรือการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) พยาธิสภาพจะอยู่ในชั้นที่ 3 (Reinke's space) อาจเป็นการบวม หรือเลือดออก หรือมีใยพังผืด ถ้ามีขนาดเล็กเพียงพักการใช้เสียงและหยุดใช้ยาก็อาจยุบไปเอง ถ้ามีขนาดใหญ่หรือไม่สามารถยุบเองได้แพทย์ถึงจะผ่าตัดออก

3. ถุงน้ำที่สายเสียง (Vocal cyst, Intracordal cyst)

ลักษณะเหมือนก้อนกลม ๆ อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุ มีสีขาวหรือเหลือง อาจเป็นทั้งสองข้างก็ได้ แต่ตำแหน่งมักไม่สมมาตรกัน ถ้าเป็นข้างเดียวมักทำให้สายเสียงข้างนั้นขยับได้น้อยลง บางรายมีมาแต่กำเนิด ถ้าเกิดขึ้นทีหลังมักเป็นจากการใช้เสียงมาก การติดเชื้อ หรือกรดไหลย้อน แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดถ้ากำจัดสาเหตุแล้วยังคงมีถุงน้ำอยู่

4. ตาปลาที่สายเสียง (Reactive lesion)

เป็นการหนาตัวของสายเสียงอีกข้างหนึ่งเมื่อถูกรอยโรคด้านตรงกันข้ามกระทบอยู่ตลอดเวลา จากรูป ลูกศรสีน้ำเงินชี้ตรงตำแหน่งที่มีการหนาตัวของสายเสียงข้างนั้นเมื่อถูกชนด้วยถุงน้ำที่สายเสียงอีกข้างหนึ่งบ่อย ๆ การมีรอยโรคข้างหนึ่งและตาปลาอีกข้างหนึ่งในตำแหน่งที่สมมาตรกันอาจทำให้คิดว่าเป็นตุ่มคู่ที่สายเสียงได้ถ้ามีขนาดพอ ๆ กัน แต่สามารถแยกได้ด้วยการใช้เครื่องตรวจจับการสั่นของสายเสียงทั้งสองข้าง ในกรณีที่เป็นตาปลา เพียงแค่รักษารอยโรคข้างตรงข้ามตาปลาอีกข้างก็จะยุบหายไปเอง

5. สายเสียงบวม (Reinke's edema, Polypoid corditis, Smoker's polyps)

เกิดจากการบวมใน Reinke's space มักเป็นทั้งสองข้าง สาเหตุหลักคือการสูบบุหรี่และใช้เสียงมาก ทำให้เสียงแหบ หากบวมมากอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ การรักษาต้องเลิกบุหรี่และลดการใช้เสียง หากไม่ดีขึ้นจึงพิจารณาผ่าตัด ซึ่งมีความเสี่ยงจะเกิดแผลเป็น

6. กรานูโลมาที่กล่องเสียง (Vocal process granuloma)

เป็นก้อนเนื้อที่ปลายสายเสียงส่วนที่เกาะกับกระดูกอ่อน arytenoid อาจเป็นทั้งสองข้าง มักพบในเพศชาย เกิดจากการบาดเจ็บของสายเสียง เช่นจากกรดไหลย้อน การไอเรื้อรัง การขากเสมหะบ่อย หรือการใส่่ท่อช่วยหายใจ กรานูโลมาที่กล่องเสียงเป็นภาวะที่ไม่อันตราย อาการคือเสียงแหบ เสียงต่ำ รู้สึกสากคอ ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 3–6 เดือน การผ่าตัดจะพิจารณาเมื่อเสียงเปลี่ยนจนส่งผลกระทบต่ออาชีพ ก้อนใหญ่ เกิดเป็นซ้ำ หรือสงสัยมะเร็ง

7. แพพิโลมาที่สายเสียง (Vocal papilloma)

เป็นเนื้องอกที่มีฐานกว้าง แผ่บนสายเสียง มีแนวโน้มกลายเป็นมะเร็ง สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18 ในเด็กมักมีลักษณะพวงองุ่น ก้อนใหญ่มากกว่าผู้ใหญ่ เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อ HPV ในช่องคลอดของมารดา ภาพที่แสดงเป็นแพพิโลมาที่พบในผู้ใหญ่ มักอยู่เฉพาะที่ ไม่ปูดโปนมาก

การรักษาหลักคือผ่าตัดผ่านกล้องด้วย CO2 laser หรือ Microdebrider หากก้อนใหญ่ ร่วมกับยาทา/ยาฉีดเพื่อลดการกลับซ้ำ

8. ถุงลมของกล่องเสียง (Laryngocele)

เป็นการโป่งพองของ laryngeal ventricle ระหว่าง true กับ false vocal cords ทำให้เกิดถุงลมต่อกับทางเดินหายใจ เมื่อมีการเพิ่มแรงดันภายในกล่องเสียง เช่น นักดนตรีที่ใช้เครื่องเป่า คนงานที่ทำหน้าที่เป่าแก้ว นักยกน้ำหนัก หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่ไอรุนแรง จะทำให้ถุงลมโป่งขึ้นดังภาพล่าง ซึ่งอาจอุดทางเดินหายใจ หรือพองออกมาที่คอใต้คางให้เห็นได้

ถุงลมของกล่องเสียงทำให้เสียงแหบและอาจเกิดการติดเชื้อ ข้างในถุงจึงอาจเป็นลม น้ำ หรือหนองก็ได้ การรักษาคือผ่าตัด

9. เนื้องอกหลอดเลือด (Hemangioma)

มักพบในทารกบริเวณ supraglottis ทำให้หายใจเสียงดังหรืออุดกั้นทางเดินหายใจ ส่วนในผู้ใหญ่พบได้น้อย

10. เนื้องอกที่พบน้อยอื่น ๆ

เช่น chondroma, schwannoma, และ amyloidosis มักพบในผู้ใหญ่ โตช้า ทำให้เสียงแหบหรือกลืนลำบาก โดย chondroma ต้องแยกจากมะเร็ง chondrosarcoma



อาการที่พบบ่อย

  • เสียงแหบ โทนเสียงเปลี่ยน คุณภาพเสียงลดลง พูดนานแล้วล้า
  • เสียงแตกพร่า ควบคุมระดับเสียงยาก ช่วงเสียงต่ำลง (โดยเฉพาะใน Reinke’s edema)
  • รู้สึกมีสิ่งแปลกปลอม เคืองคอ ไอ/กระแอมบ่อย
  • กลืนลำบาก เจ็บคอขณะใช้เสียง
  • หายใจมีเสียงวี้ดหรือหอบ (ในก้อนโต เช่น papilloma, hemangioma, laryngocele)
  • สัญญาณเตือน: เสียงแหบนานกว่า 3–4 สัปดาห์ในผู้สูบบุหรี่หรือสูงอายุ ควรตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็ง

วิธีตรวจวินิจฉัย

  1. ซักประวัติ: อาชีพ เทคนิคการใช้เสียง ระยะเวลาเสียงแหบ ประวัติสูบบุหรี่ กรดไหลย้อน หรือใส่ท่อ
  2. ตรวจร่างกายและส่องกล่องเสียง:
    • Flexible nasolaryngoscopy: ดูตำแหน่งและลักษณะรอยโรค
    • Stroboscopy: ประเมินการสั่นของสายเสียง แยกปุ่ม ติ่ง หรือซีสต์
  3. ประเมินคุณภาพเสียง โดยนักแก้ไขการพูด เช่น GRBAS, acoustic, aerodynamic
  4. ภาพถ่ายรังสี: CT/MRI เมื่อสงสัยรอยโรคลึก อยู่นอกสายเสียง หรืออุดทางเดินหายใจ เช่น laryngocele หรือ chondroma
  5. ตรวจชิ้นเนื้อ: หากวินิจฉัยไม่ชัดหรือสงสัย dysplasia
  6. ตรวจเฉพาะทาง: HPV typing ใน papilloma หรือ pH monitoring ในผู้สงสัยกรดไหลย้อนรุนแรง


วิธีรักษา

  1. การรักษาแบบอนุรักษ์นิยม
    • ปรับพฤติกรรมการใช้เสียง (voice hygiene): พักเสียง ดื่มน้ำ หลีกเลี่ยงตะโกน
    • กายภาพบำบัดเสียง (voice therapy): เป็นแนวทางหลักสำหรับ vocal nodules และเป็นแนวทางร่วมในรอยโรคอื่น
    • เลิกบุหรี่/หลีกเลี่ยงควัน: สำคัญมากใน Reinke’s edema และ polyp
    • ควบคุมกรดไหลย้อน: ปรับพฤติกรรมการกิน นอน ยกหัวเตียง ใช้ยา PPI/H2 blocker
    • ยารักษาตามอาการ เช่น โรคภูมิแพ้/ไซนัสอักเสบ
  2. การผ่าตัด/หัตถการ
    • Microlaryngoscopic surgery: มาตรฐานสำหรับ polyp, cyst, Reinke’s edema
    • เลเซอร์ (CO2, KTP, PDL): ใช้กับรอยโรคเล็กหรือ papilloma
    • ส่องกล้องเอาออก: สำหรับ internal laryngocele หรือ saccular cyst
    • Hemangioma เด็ก: ใช้ propranolol หรือเลเซอร์/ผ่าตัดเมื่ออุดกั้น
    • Papillomatosis: ตัดซ้ำตามอาการ อาจใช้ bevacizumab หรือพิจารณาวัคซีน HPV
  3. การติดตามหลังผ่าตัด
    • พักเสียงและทำ voice therapy เพื่อป้องกันการกลับซ้ำ
    • ควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น บุหรี่ กรดไหลย้อน
    • ติดตามผลด้วย stroboscopy และการประเมินเสียง โดยเฉพาะใน papillomatosis

สรุป

เนื้องอกไม่ร้ายที่กล่องเสียงเป็นสาเหตุสำคัญของเสียงแหบ ปัจจัยเสี่ยงหลักคือการใช้เสียงมากเกินไป การสูบบุหรี่ และกรดไหลย้อน การวินิจฉัยใช้การส่องกล่องเสียงร่วมกับการประเมินเสียง การรักษาเริ่มจากการดูแลสุขอนามัยเสียงและการทำ voice therapy หากไม่ดีขึ้นจึงใช้การผ่าตัดหรือเลเซอร์

การดูแลหลังผ่าตัดและการควบคุมปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการกลับซ้ำ โดยทั่วไปพยากรณ์โรคดีและโอกาสกลายเป็นมะเร็งต่ำ ยกเว้นใน vocal papilloma ที่ต้องติดตามใกล้ชิด