มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer)
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเพศชายที่สูบบุหรี่ โดยจัดอยู่ในกลุ่มมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องมีหลายประการ เช่น:
- การสูบบุหรี่: เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่ง เพิ่มโอกาสเกิดโรคได้หลายเท่า
- การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น aromatic amines, polyaromatic hydrocarbons, arsenic, diesel
- การได้รับสารก่อมะเร็งจากยา เช่น ยาเคมีบำบัดบางชนิด (cyclophosphamide)
- การได้รับรังสีรักษาบริเวณอุ้งเชิงกราน
- การได้รับรังสีนิวเคลียร์
- การใช้ยาแก้ปวด phenacetin เป็นเวลานาน
- ภาวะผิดปกติแต่กำเนิดบางอย่าง เช่น Urachus หรือ Exstrophy
- ประวัติการเป็นมะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะมาก่อน
- ภาวะอักเสบเรื้อรังของกระเพาะปัสสาวะ เช่น จากการติดเชื้อ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน
- ปัจจัยทางพันธุกรรม หรือประวัติครอบครัวที่เคยเป็นมะเร็งชนิดนี้
ชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะสามารถเกิดจากเซลล์หลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีลักษณะต่างกันดังนี้:
-
มะเร็งเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ (Urothelial carcinoma):
พบมากที่สุด คิดเป็นกว่า 90% ของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มักเกิดในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศชาย ก้อนมักมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อยื่นจากผนังด้านในของกระเพาะปัสสาวะ อาการสำคัญคือปัสสาวะเป็นเลือดโดยไม่มีอาการเจ็บ หากโรคลุกลาม อาจมีอาการปวดท้องน้อย ปัสสาวะติดขัด หรือไตวาย พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยหากพบตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรักษาหายสูง
-
มะเร็งเซลล์สแควมัส (Squamous cell carcinoma):
พบประมาณ 3–5% มักสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรัง เช่น การติดเชื้อพยาธิ Schistosoma haematobium หรือการใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน พบมากในประเทศกำลังพัฒนา อาการคล้ายกับมะเร็งชนิดอื่น เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดหรือปัสสาวะขัด พยากรณ์โรคมักไม่ดีเท่ากับชนิด Urothelial เนื่องจากมักตรวจพบเมื่อโรคลุกลามแล้ว
-
มะเร็งเซลล์ต่อม (Adenocarcinoma):
พบได้น้อยมาก (น้อยกว่า 2%) มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุที่ผิดปกติเรื้อรัง ลักษณะก้อนมักโตเร็วและมีแนวโน้มแพร่กระจายสูง อาการไม่จำเพาะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดหรือมีมูกปน พยากรณ์โรคไม่ดีหากตรวจพบในระยะลุกลาม
-
มะเร็งชนิดอื่นที่หายาก เช่น Small cell carcinoma, Sarcoma:
เป็นกลุ่มมะเร็งที่พบได้น้อยมาก แต่มักมีความรุนแรงสูง ลุกลามเร็ว และมีพยากรณ์โรคไม่ดี ต้องอาศัยการรักษาหลายรูปแบบร่วมกัน
อาการของโรค
ผู้ป่วยเกือบทั้งหมด (ราว 90%) จะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด โดยอาจไม่มีอาการปวดร่วมด้วย เลือดอาจปนในปัสสาวะหรือออกเป็นเลือดสด อาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ ร่วมกับอาการอื่น เช่น ปัสสาวะบ่อย รีบเร่ง ปวดแสบเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะลำบากจากลิ่มเลือด หากโรคลุกลาม อาจพบอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีไข้เรื้อรัง มีก้อนในอุ้งเชิงกราน ปวดท้องน้อย ขาบวม ถุงอัณฑะบวม หรือปวดหลังจากไตบวมเนื่องจากท่อไตอุดตัน
วิธีตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสามารถทำได้ด้วยหลายวิธี:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย: โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการปัสสาวะผิดปกติหรือพบเลือดในปัสสาวะ
- การตรวจปัสสาวะ: เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น เม็ดเลือดแดงหรือเซลล์มะเร็ง (urine cytology)
- การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy): เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถเห็นก้อนโดยตรงและตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจได้
- การตรวจภาพ (Imaging): เช่น อัลตราซาวด์, CT urogram หรือ MRI เพื่อประเมินขนาดก้อน การลุกลาม และภาวะแทรกซ้อน
การแบ่งระยะของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- ระยะที่ I: เซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะในเยื่อบุด้านในของกระเพาะปัสสาวะ
- ระยะที่ II: เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ
- ระยะที่ III: เซลล์มะเร็งลามถึงชั้นไขมันหรือเยื่อหุ้มช่องท้อง แต่ยังไม่แพร่ไปต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ IV: โรคลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น ต่อมลูกหมาก มดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำเหลือง หรือแพร่กระจายไกล เช่น ปอด ตับ กระดูก
แนวทางการรักษา
ระยะที่ I: รักษาโดยการผ่าตัดผ่านกล้อง (TURBT – Transurethral Resection of Bladder Tumor) ซึ่งเป็นการสอดกล้องผ่านทางท่อปัสสาวะ แล้วใช้ห่วงไฟฟ้าตัดก้อนออก ในบางรายอาจใส่ยาเคมีบำบัด เช่น BCG หรือ Mitomycin C เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ระยะที่ II – III: รักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดและรังสีรักษา การผ่าตัดอาจเป็นการตัดบางส่วนของกระเพาะปัสสาวะ หรือเอาทั้งกระเพาะปัสสาวะออก พร้อมกับสร้างกระเพาะปัสสาวะใหม่จากลำไส้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของก้อน
เคมีบำบัดหรือการฉายรังสีอาจให้ก่อนการผ่าตัดเพื่อทำให้ก้อนเล็กลง หรือให้หลังผ่าตัดในกรณีที่พบว่าโรคมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้
ระยะที่ III (ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้) และระยะที่ IV: ใช้การฉายรังสีและเคมีบำบัดเป็นหลัก หากผู้ป่วยมีสภาพร่างกายไม่แข็งแรง อาจใช้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการแทน
สรุป
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะสามารถรักษาให้หายได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือมีอาการปัสสาวะผิดปกติ การวินิจฉัยเร็วและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลการรักษาและเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด