เนื้องอกที่องคชาต (Penile tumors)
รอยโรคที่เกิดขึ้นบนองคชาตมีสาเหตุหลากหลาย ส่วนมากมักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือโรคผิวหนังที่บังเอิญเกิดบริเวณนี้ มากกว่าจะเป็นเนื้องอก อย่างไรก็ตาม รอยโรคระยะเริ่มแรกมักแยกจากกันได้ยาก จึงควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย ไม่ควรรักษาเองหรือปล่อยทิ้งไว้เพราะความอาย แม้ว่าเนื้องอกที่องคชาตจะพบไม่บ่อย แต่หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- การติดเชื้อ HPV (โดยเฉพาะชนิดที่ก่อมะเร็งเช่น HPV-16) — เกี่ยวข้องกับบางชนิดของมะเร็งองคชาต
- ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (phimosis) และสุขอนามัยไม่ดี — ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง
- โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่บริเวณองคชาต (lichen sclerosus) — สภาพผิวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- สูบบุหรี่ — เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง
- อายุ — พบมะเร็งองคชาตบ่อยขึ้นในผู้สูงอายุ
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีโอกาสพบเนื้องอกบางชนิดสูงขึ้น
- ประวัติโรคผิวหนังเรื้อรัง หรือการสัมผัสสารระคายเคืองเป็นเวลานาน
เนื้องอกไม่ร้ายที่องคชาต
แต่ละชนิดมีลักษณะและแนวทางรักษาต่างกัน ดังนี้
- Bowen's disease
พบมากในผู้ชายอายุ 35 ปีขึ้นไป ลักษณะเป็นแผ่นหนา แข็ง สีขาวเทา ผิวบนลอกเล็กน้อย
จริง ๆ แล้วเป็นระยะเริ่มต้นของมะเร็ง (Carcinoma in situ) เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบการเพิ่มจำนวนของเซลล์เยื่อบุผิว (squamous cells) อย่างผิดปกติ การจัดเรียงเซลล์ไม่เป็นระเบียบ นิวเคลียสมีลักษณะเด่นชัด ติดสีเข้ม และมีการแบ่งตัวผิดปกติ แต่ชั้นฐาน (basement membrane) ยังคงปกติ หากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามลึกลงในเนื้อองคชาต
การรักษาหลักคือการตัดผิวหนังบริเวณรอยโรคออก อาจใช้มีดผ่าตัด ความเย็น หรือเลเซอร์ หากทำไม่ได้เนื่องจากรอยโรคกว้างหรืออยู่บริเวณหัวองคชาต อาจใช้ยา 5-FU หรือ Imiquimod 5% cream ทาเป็นเวลา 3-4 เดือน (ยานี้ระคายเคืองมาก) หรือใช้ Photodynamic therapy (PDT) ร่วมด้วย
- Bowenoid papulosis
มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาลแดงหลายตุ่ม คล้ายหูด พบที่ลำองคชาต มักพบในวัยเจริญพันธุ์ ร้อยละ 80 พบเชื้อ HPV-16 ร่วมด้วย แต่ลักษณะไม่หยักและไม่แตกหงอนเหมือนหูดหงอนไก่
โรคนี้สามารถหายได้เอง แต่เกิดซ้ำบ่อย และมีโอกาสกลายเป็นเนื้องอกร้ายได้แม้จะไม่สูง การรักษาอาจใช้การจี้ไฟฟ้า ความเย็น เลเซอร์ หรือยาทา เช่น retinoic acid, podophyllum resin หรือ 5-fluorouracil แม้รักษาแล้วก็ยังอาจกลับมาเป็นซ้ำ
- Erythroplasia of Queyrat
ลักษณะคล้ายปานแดงที่หัวองคชาต มีขอบเขตชัด เป็นมัน และแข็งกว่าบริเวณรอบข้าง ลักษณะทางพยาธิวิทยาเป็น Carcinoma in situ เช่นเดียวกับ Bowen's disease
รักษาด้วย Mohs micrographic surgery หรือวิธีเดียวกับ Bowen's disease แต่ Mohs surgery มีโอกาสกลับเป็นซ้ำน้อยกว่า
- Condyloma acuminatum (หูดหงอนไก่)
พบค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศและติดเชื้อ HPV ลักษณะเป็นติ่งเนื้อสีชมพู-เทา แบน ผิวขรุขระ อาจรวมกันเป็นกลุ่ม
รักษาโดยการจี้ไฟฟ้า การแช่แข็ง (cryotherapy) ผ่าตัดออก หรือใช้ยาทาภายนอก (podophyllotoxin, imiquimod) ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่ง มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ และบางสายพันธุ์ HPV เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งองคชาต
- Epidermal/sebaceous cysts
พบได้ทุกเพศทุกวัย เป็นก้อนใต้ผิวหนัง มักไม่เจ็บ หากติดเชื้อจะบวมแดงและปวด ต้องผ่าตัดออกทั้งก้อน โอกาสเกิดซ้ำต่ำ
- Fibroepithelial polyp / Papilloma
พบไม่บ่อย เป็นติ่งเนื้ออ่อนนุ่ม ขนาดเล็ก มักไม่เจ็บ รักษาโดยการตัดออกหากมีอาการหรือผู้ป่วยต้องการ
- เนื่องอกไม่ร้ายอื่น ๆ เช่น Pyogenic granuloma, Angiokeratoma, Lymphangioma, Hemangioma
ลักษณะเป็นตุ่มสีแดงหรือม่วง บางชนิดเลือดออกง่าย รักษาโดยการจี้หรือผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด
มะเร็งองคชาต
แม้พบได้น้อย แต่สัมพันธ์กับการไม่รักษาความสะอาดขององคชาต แทบไม่พบในกลุ่มที่ขริบหนังหุ้มปลายตั้งแต่เด็ก เช่น ในศาสนาอิสลามหรือยิว
ร้อยละ 95 ของมะเร็งองคชาตเป็น Squamous cell carcinoma ที่เหลือเป็นชนิดอื่น เช่น Basal cell carcinoma, Kaposi sarcoma, Melanoma, Leiomyosarcoma และ Sarcomatoid carcinoma
ลักษณะของโรค
ส่วนใหญ่พบที่หัวองคชาตหรือผนังด้านในของหนังหุ้มปลายใกล้ร่องหัว ลักษณะขึ้นกับชนิดมะเร็ง เช่น Squamous cell carcinoma ระยะแรกเป็นผิวหนา ขาวด้าน ขนาดราว 1 ซม. ต่อมาจะแตกเป็นแผลขอบหนา ขรุขระ หรือเป็นติ่งคล้ายหูดหงอนไก่และโตเป็นก้อนดอกกะหล่ำ
Kaposi sarcoma (พบบ่อยในผู้ป่วยเอดส์) เป็นก้อนสีม่วงแดงหลายก้อน ขอบเขตชัด, Melanoma เป็นก้อนสีน้ำตาลเข้ม, Leiomyosarcoma เป็นก้อนลึก เนื้อหยุ่นคล้ายยางลบ และอาจแตกเป็นแผลเมื่อโรคลุกลาม
การวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงผิวหนังส่วนอื่น ตรวจหาเชื้อ HPV (ในบางราย) และตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา หากยืนยันว่าเป็นเนื้อร้าย จะตรวจ MRI, CT หรือ PET-CT เพื่อประเมินระยะของโรค
ระยะของมะเร็งองคชาต
- ระยะ I เซลล์มะเร็งลุกลามลึกกว่าชั้น basement membrane แต่ยังไม่เข้าหลอดเลือดหรือน้ำเหลือง
- ระยะ II เซลล์มะเร็งเข้าหลอดเลือดหรือน้ำเหลืองแล้ว หรือไปถึงเนื้อเยื่อที่ทำให้อวัยวะแข็งตัว
- ระยะ III ลุกลามถึงต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ
- ระยะ IV ลุกลามถึงต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง หรืออวัยวะไกล
แนวทางการรักษา
ระยะ I-III รักษาหลักด้วยการผ่าตัด อาจต้องตัดบางส่วนหรือทั้งองคชาตขึ้นกับขนาดและความรุนแรงของโรค หากมีการลามไปต่อมน้ำเหลืองต้องเลาะออกทั้งหมด ระยะ I-II อาจตามด้วยรังสีรักษา ส่วนระยะ III มักต้องเสริมเคมีบำบัด
ระยะ IV รักษาเพื่อบรรเทาอาการและคงคุณภาพชีวิต
สรุป
เนื้องอกที่องคชาตมีตั้งแต่ชนิดไม่ร้ายที่รักษาได้ง่าย ไปจนถึงมะเร็งที่พบไม่บ่อยแต่รุนแรง การตรวจชิ้นเนื้อและประเมินต่อมน้ำเหลืองมีความสำคัญต่อการวางแผนรักษาและพยากรณ์โรค
ควรให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ HPV, ภาวะ phimosis, ภาวะ lichen sclerosus และการสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต