มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)
มะเร็งรังไข่พบไม่บ่อยในสตรี แต่มักจะไม่แสดงอาการ จึงทำให้ระยะของโรคลุกลามไปมากเมื่อตรวจพบ อายุของหญิงที่เป็นมะเร็งรังไข่จะอยู่ในช่วง 35-74 ปี ส่วนใหญ่เกิดหลังวัยหมดประจำเดือน ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ
- ภาวะที่มีบุตรยาก
- มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม, รังไข่, หรือลำไส้ใหญ่
- ตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2
- มีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการ HNPCC (หรือ Lynch syndrome)
ส่วนปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ ได้แก่ การลดจำนวนรอบการตกไข่ เช่น
- การใช้ยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 3 ปี พบว่าลดอัตราเสี่ยงลงได้ 30-50%
- การตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยจำนวนบุตรและระยะเวลาการให้นมที่มากขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง
- การทำหมันโดยการผูกท่อรังไข่
- การตัดมดลูก ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ได้
ชนิดของมะเร็งรังไข่
มะเร็งรังไข่มีมากกว่า 30 ชนิด แต่สามารถแบ่งตามเซลล์ต้นกำเนิดออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
- Epithelial Tumors เป็นชนิดที่พบมากที่สุด (85-90%) เกิดจากเยื่อบุชั้นนอกของรังไข่ Cystadenocarcinoma ที่พัฒนามาจาก Serous หรือ Mucous cystadenoma ก็จัดอยู่ในมะเร็งกลุ่มนี้ มักพบในผู้หญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุ ก้อนมักมีลักษณะเป็นถุงน้ำหรือก้อนตัน มีผนังหลายชั้น และอาจมีของเหลวในช่องท้อง หากตรวจพบช้า โอกาสกลายเป็นมะเร็งสูง
- Germ Cell Tumors เป็นมะเร็งของเซลล์ไข่ พบได้ 5-10% มักเกิดในวัยรุ่นหรือหญิงอายุน้อย ลักษณะก้อนโตเร็ว มีอาการปวดท้อง หรือมีก้อนในท้องน้อย บางชนิดสามารถตรวจพบสาร AFP หรือ hCG ในเลือดได้ รักษาหายได้ดีหากพบเร็ว
- Sex Cord-Stromal Tumors พบได้น้อย เกิดจากเซลล์ที่สร้างฮอร์โมน เช่น granulosa cell tumor หรือ Sertoli-Leydig cell tumor พบได้ในทุกช่วงอายุ บางชนิดสร้างฮอร์โมนเพศทำให้เกิดอาการผิดปกติเช่น ประจำเดือนผิดปกติ หรือขนขึ้นมากผิดปกติ
อาการและการวินิจฉัย
มะเร็งรังไข่มักเริ่มแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ระยะที่ III หรือมากกว่านั้น บางครั้งอาจพบเป็นทั้งสองข้าง อาการที่พบบ่อยได้แก่:
- ท้องอืดหรือท้องโตขึ้นผิดปกติ
- ปวดท้องน้อย
- กลั้นปัสสาวะไม่ได้
- ท้องผูก
- เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
- อ่อนเพลีย ปวดหลัง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีคัดกรองมะเร็งรังไข่ที่มีประสิทธิภาพ การตรวจภายใน อัลตราซาวด์ทางช่องคลอด การตรวจ CA-125 หรือการตรวจยีน BRCA แนะนำให้ทำเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูงเท่านั้น และยังไม่มีความถี่ที่ชัดเจน
การตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการแล้วประกอบด้วย:
- ตรวจร่างกายและอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด
- ตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง เช่น CA-125, HE4
- ตรวจ CT scan หรือ MRI เพื่อประเมินขนาดและการลุกลาม
- การผ่าตัดตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
ระยะของมะเร็งรังไข่
- ระยะที่ I โรคจำกัดอยู่ที่รังไข่
- IA: อยู่ที่รังไข่ข้างเดียว
- IB: อยู่ที่รังไข่ทั้งสองข้าง
- IC: อาจอยู่ข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง แต่มีเซลล์มะเร็งที่ผนังชั้นนอก, แคปซูลแตก หรือมีเซลล์มะเร็งในน้ำในช่องท้อง
- ระยะที่ II โรคลุกลามในอุ้งเชิงกราน
- IIA: ลามไปมดลูกหรือปีกมดลูก
- IIB: ลามไปอวัยวะอื่นในอุ้งเชิงกราน
- IIC: ลามในอุ้งเชิงกรานและมีเซลล์มะเร็งในน้ำในช่องท้อง
- ระยะที่ III ลุกลามไปเยื่อบุช่องท้องหรือต่อมน้ำเหลือง
- IIIA: ไม่เห็นมะเร็งด้วยตาเปล่าขณะผ่าตัด
- IIIB: เห็นก้อนมะเร็งขนาดไม่เกิน 2 ซม. ที่เยื่อบุช่องท้อง
- IIIC: เห็นมะเร็งขนาด >2 ซม. หรือพบที่ต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ IV โรคกระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกล เช่น ปอด
นอกจากนี้ยังมีการแบ่ง "เกรด" ตามลักษณะของเซลล์มะเร็ง:
- เกรด 1 (Low grade): เซลล์คล้ายเซลล์ปกติ โตช้า
- เกรด 3 (High grade): เซลล์ผิดปกติมาก โตและลุกลามเร็ว
- เกรด 2: ลักษณะเซลล์อยู่ระหว่างเกรด 1 และ 3
การรักษา
การรักษามะเร็งรังไข่ขึ้นกับระยะของโรค ชนิดและเกรดของเซลล์มะเร็ง และจำนวนข้างที่เป็น รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย
- ระยะ IA ที่ low grade: (ซึ่งความจริงพบได้น้อยมาก) ผ่าตัดรังไข่และท่อนำไข่ข้างเดียว สำหรับผู้หญิงที่หมดประจำเดือนอาจตัดมดลูกด้วย
- ระยะ IB และ IC: ผ่าตัดทั้งรังไข่ 2 ข้าง ปีกมดลูก และมดลูก หากเป็น high grade แพทย์มักให้เคมีบำบัดเพิ่มเติม
- ระยะ II-IV: เป็นระยะลุกลาม ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัด โดยอาจให้ก่อนหรือหลังผ่าตัด รังสีรักษาใช้ไม่บ่อยในปัจจุบัน
โดยทั่วไป การผ่าตัดจะเอารังไข่ มดลูก และปีกมดลูกทั้งสองข้างออก และตามด้วยยาเคมีบำบัด เช่น กลุ่ม Platinum และ Taxane ซึ่งได้ผลดี โดยเฉพาะกับชนิดที่ไม่ใช่ cystadenocarcinoma อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมารักษาในระยะ III ขึ้นไป จึงมีโอกาสกลับเป็นซ้ำสูง
ยาเคมีบำบัดอาจให้ทางหลอดเลือดดำ หรือในบางกรณีให้ทางช่องท้อง แต่แบบหลังอาจมีผลข้างเคียงมากกว่า ยามุ่งเป้า (targeted therapy) อย่าง PARP inhibitors อาจใช้ในผู้ป่วยที่มียีน BRCA กลายพันธุ์
สรุป
มะเร็งรังไข่เป็นโรคที่อันตรายและมักตรวจพบเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม เนื่องจากไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้สามารถวินิจฉัยได้เร็วและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ