ติ่งเนื้อที่ลำไส้ใหญ่ (Colorectal polyps)

ลำไส้ใหญ่เป็นอวัยวะภายในช่องท้องที่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและเกลือแร่บางส่วนกลับเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงขับกากอาหารออกทางทวารหนักเป็นอุจจาระ เนื้องอกที่ลำไส้ใหญ่พบได้ค่อนข้างบ่อย มีทั้งที่เป็นติ่งเนื้อธรรมดาไปจนถึงมะเร็ง ประมาณกันว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 70 ปี มีเนื้องอกเกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่

ติ่งเนื้อที่ลำไส้ใหญ่เป็นเนื้องอกไม่ร้ายที่ชั้นเยื่อบุผิว พบได้บ่อย จากข้อมูลทางระบาดวิทยา พบว่าประมาณ 15-30% ของผู้ใหญ่ที่มีอายุเกิน 50 ปีจะมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ และพบมากขึ้นตามอายุ

ส่วนใหญ่ติ่งเนื้อเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดอาการ ยกเว้นในกรณีที่มีขนาดใหญ่หรืออุจจาระแข็ง อาจทำให้มีเลือดปนออกมาได้ และที่สำคัญคือบางชนิดสามารถพัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคตได้

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดติ่งเนื้อที่ลำไส้ใหญ่:

  • อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมากกว่า 50 ปี
  • ประวัติครอบครัวมีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีติ่งเนื้อ
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น ulcerative colitis หรือ Crohn's disease
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น รับประทานอาหารไขมันสูง ใยอาหารต่ำ ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

ชนิดของติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักตามโอกาสการกลายเป็นมะเร็ง ได้แก่:

1. กลุ่มที่ไม่กลายเป็นมะเร็ง (Non-neoplastic polyps)

  • Hyperplastic polyps: พบได้บ่อย โดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย มีลักษณะเรียบ ขนาดเล็ก (< 0.5 cm) มักไม่กลายเป็นมะเร็ง พบได้ประมาณ 70-90% ของติ่งเนื้อทั้งหมด
  • Inflammatory polyps: มักพบในผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง
  • Hamartomatous polyps: เป็นติ่งเนื้อที่มีเซลล์หลายชนิดปะปนกัน พบได้น้อย โอกาสกลายเป็นมะเร็งมีน้อยมาก

2. กลุ่มที่อาจกลายเป็นมะเร็ง (Neoplastic polyps)

  • Adenomatous polyps (Adenomas): ติ่งเนื้อกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นมะเร็ง ยิ่งมีขนาดใหญ่หรือมีลักษณะแบน (ไม่มีก้านห้อย) ก็ยิ่งเสี่ยงมาก โดย adenomas พบได้ประมาณ 10-25% ของติ่งเนื้อทั้งหมด แบ่งย่อยได้เป็น:
    • Tubular adenoma: (รูปบน) พบบ่อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ
    • Villous adenoma: (รูปล่าง) ความเสี่ยงสูง และอาจทำให้ถ่ายเป็นน้ำอย่างรุนแรงได้
    • Tubulovillous adenoma: (รูปกลาง) ความเสี่ยงปานกลาง
  • Serrated adenomas: มีลักษณะก้ำกึ่งกับ hyperplastic polyps แต่หากมีลักษณะเซลล์คล้ายฟันเลื่อยที่ขอบติ่งเนื้อเมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้
  • Polyposis syndromes กลุ่มโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้มีติ่งเนื้อจำนวนมากในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่เด็ก เช่น Peutz-Jeghers syndrome ซึ่งพบได้น้อยแต่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูง


อาการและวิธีตรวจวินิจฉัย

ติ่งเนื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่ในบางรายอาจมีอาการ เช่น ถ่ายเป็นเลือด เลือดออกทางทวารหนัก ท้องอืด ปวดท้อง หรือซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง

การตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น:

  • Colonoscopy: วิธีที่แม่นยำที่สุด โดยใช้กล้องส่องเข้าไปในลำไส้ใหญ่ สามารถตรวจพบและตัดติ่งเนื้อออกได้ในคราวเดียวกัน
  • Stool occult blood test: ตรวจหาเลือดในอุจจาระ
  • CT colonography (virtual colonoscopy): ใช้ภาพถ่าย CT สร้างภาพ 3 มิติของลำไส้ใหญ่

การคัดกรอง

ผู้ที่ไม่มีอาการ ควรเริ่มเข้ารับการตรวจคัดกรองเมื่ออายุ 50 ปี (หรือ 45 ปี ตามแนวทางใหม่บางประเทศ) และตรวจซ้ำทุก 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับผลการตรวจครั้งก่อน

วิธีรักษา

เมื่อพบว่ามีติ่งเนื้อ แพทย์จะทำการตัดออกผ่านกล้อง colonoscope โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ เรียกว่า polypectomy ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถป้องกันการพัฒนาเป็นมะเร็งได้

หากมีลักษณะเซลล์ที่ผิดปกติรุนแรง หรือพบว่ากลายเป็นมะเร็งแล้ว อาจต้องทำการผ่าตัดเอาส่วนของลำไส้ออกเพิ่มเติม หลังการตัดติ่งเนื้อ ควรติดตามตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ

สรุป

ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มักไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่บางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ การตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป (หรือเร็วกว่านั้นในบางกรณี) เป็นแนวทางที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการตัดติ่งเนื้อออกตั้งแต่ยังไม่กลายเป็นมะเร็งช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

การรู้จักชนิดของติ่งเนื้อ ปัจจัยเสี่ยง และเข้ารับการตรวจตามระยะเวลาที่เหมาะสม ถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพลำไส้ใหญ่ของเรา