มะเร็งถุงน้ำดี (Gallbladder cancer)
มะเร็งถุงน้ำดีเป็นมะเร็งที่พบไม่บ่อยนัก แต่มีแนวโน้มในการลุกลามและพยากรณ์โรคที่ไม่ดีหากตรวจพบในระยะท้าย โดยมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบมากในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งถุงน้ำดี ได้แก่:
- นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) พบร่วมกับมะเร็งถุงน้ำดีในกว่า 70% ของผู้ป่วย
- ติ่งเนื้อในถุงน้ำดีที่มีขนาด > 1 ซม. โดยเฉพาะ adenoma
- ภาวะถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
- โรคถุงน้ำดีรูปทรงผิดปกติ เช่น ภาวะถุงน้ำดีโตแต่กำเนิด (choledochal cyst)
- โรค primary sclerosing cholangitis
- พันธุกรรมและการสัมผัสสารพิษบางชนิด เช่น nitrosamines
อาการและวิธีวินิจฉัย
ในระยะแรก มะเร็งถุงน้ำดีมักไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามแล้ว อาการที่อาจพบ ได้แก่:
- ปวดแน่นบริเวณชายโครงขวาหรือช่องท้องส่วนบน
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ไข้ หรือมีอาการคล้ายถุงน้ำดีอักเสบ
วิธีวินิจฉัยประกอบด้วย:
- อัลตราซาวด์ช่องท้อง (US): ตรวจเบื้องต้นเพื่อดูลักษณะผิดปกติ
- CT scan / MRI: ประเมินขนาด การลุกลาม และต่อมน้ำเหลือง
- Endoscopic ultrasound (EUS): ตรวจติ่งเนื้อหรือก้อนผิดปกติในถุงน้ำดี
- การตรวจทางพยาธิวิทยา (biopsy): ยืนยันการวินิจฉัย ส่วนใหญ่ได้ชิ้นเนื้อจากการตัดถุงน้ำดี แต่วิธีอื่นก็ทำได้ เช่น เจาะผ่านกล้อง EUS หรือ ERCP หรือเจาะผ่านผิวหนังกรณีก้อนใหญ่ยื่นออกมานอกถุงน้ำดี
การแบ่งระยะของโรค การรักษา และการพยากรณ์โรค
การแบ่งระยะของมะเร็งถุงน้ำดีใช้ระบบ TNM (Tumor, Node, Metastasis) ซึ่งมีผลต่อการเลือกแนวทางการรักษา โดยสรุปการแบ่งระยะได้ดังนี้:
- ระยะที่ 0–I: โรคอยู่เฉพาะในชั้นเยื่อบุหรือกล้ามเนื้อของถุงน้ำดี
- ระยะที่ II: มะเร็งลุกลามมากขึ้นแต่ยังไม่ออกนอกถุงน้ำดี
- ระยะที่ III–IV: ลุกลามถึงตับหรืออวัยวะข้างเคียง หรือมีการแพร่กระจาย
การรักษา ขึ้นกับระยะของโรค:
- การผ่าตัด: เป็นวิธีหลักหากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้น ได้แก่ การตัดถุงน้ำดีร่วมกับตับส่วนที่ติดกัน และต่อมน้ำเหลือง
- เคมีบำบัด และ/หรือ รังสีรักษา: ใช้เสริมหลังผ่าตัดในบางราย หรือใช้ในผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
- การดูแลแบบประคับประคอง: สำหรับผู้ป่วยระยะท้ายที่ไม่สามารถรักษาเฉพาะทางได้
การพยากรณ์โรค: มะเร็งถุงน้ำดีมีแนวโน้มพยากรณ์โรคไม่ดี เนื่องจากมักตรวจพบเมื่อโรคลุกลามแล้ว อัตรารอดชีวิตที่ 5 ปีจะสูงในระยะแรก (มากกว่า 80%) แต่ลดลงเหลือน้อยกว่า 10% หากโรคเข้าสู่ระยะลุกลาม
สรุป
มะเร็งถุงน้ำดีเป็นโรคที่พบไม่บ่อยแต่มีความรุนแรงสูง การตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะเพิ่มโอกาสรักษาให้หายขาดได้ การเฝ้าระวังในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่มีติ่งเนื้อในถุงน้ำดีขนาดใหญ่ หรือมีนิ่วเรื้อรัง จึงมีความสำคัญในการป้องกันและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้