การวินิจฉัยก้อนในปอด

ก้อนในปอด (pulmonary nodule) มักถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอกซเรย์ทรวงอกหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ที่ทำด้วยเหตุผลอื่น เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี ขอใบรับรองแพทย์ประกอบการศึกษา สมัครงาน หรือทำธุรกรรม หรือหาสาเหตุของอาการป่วยที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจโดยตรง

มีการประมาณว่า ในทุก ๆ 500 ภาพเอกซเรย์ทรวงอกธรรมดา จะพบภาพที่มีลักษณะคล้ายก้อนในปอดประมาณ 1 ภาพ ซึ่งก้อนเหล่านี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่:

  1. เนื้องอกไม่ร้าย (benign tumor): พบประมาณ 60% ของก้อนในปอดทั้งหมด เช่น แฮมมาโทมา (hamartoma), granuloma จากการติดเชื้อ
  2. เนื้องอกร้าย (malignant tumor): พบประมาณ 20-30% ของก้อนในปอด โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ อายุ >50 ปี หรือมีประวัติมะเร็งมาก่อน
  3. สาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เนื้องอก: เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย วัณโรค เชื้อรา แผลเป็นจากการอักเสบ หรือหลอดเลือดผิดปกติ (AV malformation) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10-20%

แม้ก้อนในปอดส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง แต่ก็จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยอย่างรอบคอบ เพื่อแยกแยะก้อนร้ายออกจากก้อนไม่ร้าย และให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมหากเป็นมะเร็ง

ลักษณะที่ต้องพิจารณา:

  • ขนาด: ก้อนที่มีขนาดน้อยกว่า 6 มม. มักมีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่หากขนาดมากกว่า 8 มม. ความเสี่ยงมะเร็งจะเพิ่มขึ้น
  • รูปร่าง: ก้อนที่มีขอบไม่เรียบ ลักษณะคล้ายหนามแหลม (spiculated margin) หรือเป็นหยัก (lobulated) มีความเสี่ยงสูงกว่าก้อนที่มีขอบเรียบ
  • ความหนาแน่น: ก้อนที่เป็น part-solid หรือ solid มีความเสี่ยงเป็นเนื้อร้ายมากกว่าก้อนที่เป็น non-solid หรือ ground-glass แต่ยังต้องติดตาม
  • ตำแหน่ง: ก้อนที่อยู่ในส่วนบนของปอดหรืออยู่ลึกภายในเนื้อปอด มีความเสี่ยงมากกว่าก้อนที่อยู่ใกล้ผิวปอด

ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย:

  • อายุเกิน 50 ปี
  • ประวัติสูบบุหรี่
  • เคยเป็นมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน
  • มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง


ขั้นตอนการวินิจฉัย

สำหรับก้อนเดี่ยวที่มีขนาดเล็กกว่า 30 มิลลิเมตร หรือ 3 เซนติเมตร

  1. เปรียบเทียบกับภาพถ่ายเก่า: หากก้อนมีขนาดคงที่มาเกิน 2 ปี โอกาสที่จะเป็นมะเร็งจะน้อยมาก
  2. การติดตามด้วย CT: หากความเสี่ยงต่ำหรือขนาดก้อนเล็กกว่า 8 มม. แนะนำให้ติดตามด้วย CT scan ทุก 3-6 เดือนเพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลง
  3. หากความเสี่ยงสูง หรือก้อนมีขนาดใหญ่กว่า 8 มม. ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเจาะชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย

  4. การตรวจชิ้นเนื้อ: อาจทำได้โดยการเจาะเข็ม (CT-guided biopsy), ส่องกล้องหลอดลม หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและลักษณะของก้อน
  5. หากผลชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอด ขั้นต่อไปคือการตรวจเพื่อประเมินการแพร่กระจายของโรค เช่น PET-CT และ MRI สมอง

  6. PET-CT: ตรวจการเผาผลาญของเซลล์ในก้อน หากมีการใช้น้ำตาลสูง อาจเป็นสัญญาณของมะเร็ง
  7. MRI สมอง: เนื่องจากสมองใช้พลังงานสูง การทำ PET-CT อาจไม่สามารถแยกความผิดปกติได้ จึงใช้ MRI สมองในการประเมินความผิดปกติแทน

สำหรับก้อนเดี่ยวที่มีขนาดมากกว่า 30 มิลลิเมตร หรือ 3 เซนติเมตร

หาก CT ทรวงอกยืนยันว่าเป็นก้อนเนื้อจริง แนะนำให้ตรวจหามะเร็งเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้:

  • ตรวจเสมหะอย่างน้อย 3 ครั้ง
  • เจาะน้ำในช่องปอด (ถ้ามี)
  • ตรวจชิ้นเนื้อของต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ (ถ้ามี)
  • ส่องกล้องหลอดลม (และอาจเก็บชิ้นเนื้อมาตรวจ)
  • เจาะตรวจชิ้นเนื้อด้วยเข็มผ่านทางทรวงอก (ถ้าก้อนอยู่ใกล้ผนังทรวงอก)
  • ผ่าตัดทรวงอก (หากสามารถตัดก้อนและเนื้อปอดบางส่วนได้)

สรุป

ก้อนในปอดที่ไม่มีอาการมักถูกพบโดยบังเอิญ แต่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด การวินิจฉัยต้องอาศัยการพิจารณาลักษณะของก้อน ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย และเปรียบเทียบกับภาพถ่ายเดิม หากจำเป็น ควรรีบตรวจชิ้นเนื้อหรือผ่าตัดเพื่อให้ได้ผลวินิจฉัยที่ชัดเจน และเริ่มต้นการรักษาอย่างทันท่วงที