มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric cancer)
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในบางประเทศแถบเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ส่วนในประเทศไทยพบได้ปานกลาง มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2 เท่า และส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 55 ปี
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคนี้ ได้แก่:
- ผู้ที่มีเนื้องอกกระเพาะชนิดไม่ร้ายที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งอยู่ก่อน
- ผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารมาแล้วนานกว่า 10–15 ปี
- การติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะ
- การบริโภคอาหารหมักดอง เค็มจัด ปิ้งย่าง หรืออาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น ไนโตรซามีน
- มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ภาวะเยื่อบุกระเพาะบางจากการอักเสบเรื้อรัง เช่น Pernicious Anemia หรือโรคที่ทำให้เซลล์เยื่อบุผิดปกติ เช่น Menetrier's Disease
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง
มะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 95% เป็นชนิด adenocarcinoma ที่เหลือเป็นกลุ่มอื่น เช่น gastric lymphoma, GISTs, carcinoid, sarcoma, neuroendocrine carcinoma, adenoacanthoma และ squamous cell carcinoma
อาการสำคัญ
ในระยะแรก มะเร็งกระเพาะอาหารมักไม่แสดงอาการใดชัดเจน อาการที่ควรสงสัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี ได้แก่:
- ท้องอืด จุกเสียดหลังมื้ออาหาร อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด โดยไม่มีสาเหตุทางอารมณ์และจิตใจ
- ถ่ายดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด (หากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)
- ตาเหลือง
- คลำได้ก้อนที่หน้าท้อง ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่
หากผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศชาย มีอาการท้องอืดหรือจุกเสียดหลังอาหารติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ ไม่ควรรอจนมีอาการรุนแรงขึ้นในข้ออื่น ๆ
การวินิจฉัย
แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร (EGD) หรือการกลืนแป้งเอกซเรย์ (Upper GI series) ซึ่งต้องงดอาหารล่วงหน้า
การส่องกล้องช่วยให้แพทย์สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากรอยโรคเพื่อตรวจวิเคราะห์ และยังสามารถตรวจหาเชื้อ Helicobacter pylori ได้ในคราวเดียวกัน หากผู้ป่วยยังไม่พร้อมตรวจพิเศษ แพทย์อาจเริ่มให้ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารและติดตามอาการก่อน
ในระหว่างรอผลชิ้นเนื้อ หากรอยโรคสงสัยว่าเป็นมะเร็ง แพทย์อาจทำการส่องกล้องพร้อมอัลตราซาวด์ (Endoscopic ultrasound - EUS) เพื่อประเมินความลึกของก้อนและการลุกลามเฉพาะที่ หากยืนยันว่าเป็นมะเร็ง จะตรวจเพิ่มเติมด้วย CT scan หรือ MRI เพื่อตรวจหาการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ตับ หรืออวัยวะอื่น ๆ
การรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดเซลล์มะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยหลัก ๆ ประกอบด้วย:
- การผ่าตัด
ในระยะต้นที่มะเร็งยังจำกัดอยู่ในกระเพาะอาหาร การผ่าตัดเป็นวิธีหลัก อาจตัดบางส่วนหรือทั้งกระเพาะ แล้วเชื่อมต่อหลอดอาหารกับลำไส้เล็ก หากลุกลามแล้ว จะต้องทำเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาร่วมด้วย
การผ่าตัดเป็นการผ่าตัดใหญ่ ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น คลื่นไส้ ปวดเกร็ง ท้องเสียหลังอาหาร เกิดจากการที่อาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเร็วเกินไป แนะนำให้กินอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยขึ้น และอาจต้องรับวิตามิน B12 ฉีดเป็นระยะ เนื่องจากการดูดซึมบกพร่องหลังผ่าตัด
- เคมีบำบัด
ใช้ยาเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลือหลังผ่าตัด หรือเพื่อควบคุมโรคในระยะลุกลาม ยาอาจให้ทางปากหรือฉีด มีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ ผมร่วง ชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นต้น ซึ่งมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดยา
- รังสีรักษา
ใช้รังสีฆ่าเซลล์มะเร็ง อาจใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดก้อน หรือหลังผ่าตัดเพื่อลดโอกาสกลับมาใหม่ ผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ระคายผิว หรือท้องเสีย ซึ่งมักจะดีขึ้นภายหลังหยุดการรักษา
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy)
ใช้ในผู้ป่วยที่มีการแสดงออกของโปรตีนจำเพาะ เช่น HER2
- การรักษาประคับประคอง (Palliative care)
สำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งลุกลามมาก ช่วยควบคุมอาการและคุณภาพชีวิต
สรุป
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นโรคร้ายที่อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้การวินิจฉัยมักล่าช้า การป้องกันด้วยการลดความเสี่ยง เช่น หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง งดสูบบุหรี่ และรักษาการติดเชื้อ H. pylori อย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การรักษามีโอกาสได้ผลดีและอาจหายขาดได้ ดังนั้นควรใส่ใจสุขภาพและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร