มะเร็งอัณฑะ (Testicular cancer)
มะเร็งอัณฑะเป็นโรคที่พบไม่บ่อย คิดเป็นเพียงประมาณ 2% ของมะเร็งทั้งหมดทั่วร่างกาย ช่วงอายุที่พบมากอยู่ระหว่าง 15–40 ปี ซึ่งต่างจากมะเร็งส่วนใหญ่ที่มักพบในผู้สูงอายุ อาการที่พบบ่อยคือมีก้อนหรือความรู้สึกหนักที่อัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่เจ็บ อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยในบางราย บางคนอาจมาพบแพทย์เพราะมีปัญหามีบุตรยาก
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- Cryptorchidism (อัณฑะไม่ลงถุง) — เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ความเสี่ยงยังคงสูงแม้ได้รับการผ่าตัดแก้ไขแล้ว
- ประวัติครอบครัว — หากมีญาติใกล้ชิดเป็นมะเร็งอัณฑะ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น
- ประวัติเนื้องอกในอัณฑะ หรือความผิดปกติของอัณฑะตั้งแต่กำเนิด
- ภาวะทางพันธุกรรม — เช่น ความผิดปกติของโครโมโซมบางชนิด
- ปัจจัยอื่น ๆ — เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV) อาจเพิ่มความเสี่ยง
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งอัณฑะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้:
- มะเร็งจากเซลล์สืบพันธุ์ (Germ cell tumours) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ประมาณ 90–95% ของมะเร็งอัณฑะ สามารถแบ่งย่อยเป็น:
- Seminoma — พบมากในช่วงอายุ 30–40 ปี ลักษณะก้อนค่อนข้างนุ่ม ยืดหยุ่น โตช้ากว่า non-seminoma ตอบสนองต่อรังสีและเคมีบำบัดได้ดี พยากรณ์โรคค่อนข้างดี
- Non-seminoma — พบในวัยรุ่นตอนปลายถึงช่วงอายุ 30 กว่า ๆ ก้อนมักแข็ง โตเร็ว แพร่กระจายได้ไว มีหลายชนิดย่อย เช่น embryonal carcinoma, yolk sac tumour, choriocarcinoma, teratoma ต้องการการรักษาที่เข้มข้นกว่า แต่หลายกรณีสามารถรักษาหายได้ด้วยการผ่าตัดและเคมีบำบัด
ความรุนแรงของกลุ่ม non-seminoma ประเมินจากระดับ tumour markers ได้แก่ Alpha-fetoprotein (AFP), Human chorionic gonadotropin (hCG) และ Lactate dehydrogenase (LDH) หากค่า AFP < 1,000 ng/mL, hCG < 5,000 mIU/mL และ LDH < 1.5 เท่าของค่าปกติ พยากรณ์โรคจะดีกว่ากรณีที่ค่าเกินกว่านี้ในระยะเดียวกัน
- มะเร็งจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Sex cord–stromal tumours) — เช่น Leydig cell tumour และ Sertoli cell tumour พบได้น้อย (ประมาณ 1–5%) เกิดได้ในหลายช่วงอายุ บางชนิดอาจสร้างฮอร์โมน เช่น testosterone หรือ estrogen ทำให้เกิดอาการทางฮอร์โมน พยากรณ์โรคมักดีกว่าแต่ขึ้นกับชนิดและพฤติกรรมของมะเร็ง
- มะเร็งชนิดอื่น ๆ — เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งจากอวัยวะอื่นที่แพร่กระจายมา พบได้ไม่บ่อย
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย — สอบถามอาการ ประวัติครอบครัว และตรวจคลำถุงอัณฑะ
- อัลตราซาวด์ถุงอัณฑะ (Scrotal ultrasound) — เป็นวิธีหลักในการยืนยันว่าก้อนอยู่ในอัณฑะหรือไม่ และช่วยแยกก้อนน้ำ (hydrocele) ออกจากก้อนเนื้อ
- ตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumour markers) — ตรวจเลือดหา AFP, β-hCG และ LDH เพื่อช่วยจำแนกชนิด ติดตามการรักษา และประเมินการแพร่กระจาย
- การถ่ายภาพเพิ่มเติม — เช่น CT scan ช่องท้องและทรวงอก เพื่อประเมินการแพร่กระจาย
- การผ่าตัดตรวจชิ้นเนื้อ — ทำโดยการตัดอัณฑะออกทั้งลูกทางขาหนีบ (radical inguinal orchiectomy) ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ไม่ควรเจาะชิ้นเนื้อผ่านถุงอัณฑะเพราะเสี่ยงต่อการกระจายของโรค และทำให้การจัดการต่อไปซับซ้อน
ระยะของมะเร็งอัณฑะ
มะเร็งอัณฑะเป็นโรคที่มีความรุนแรงต่ำ มีโอกาสรักษาให้หายขาดสูง จึงแบ่งเป็นเพียง 3 ระยะใหญ่ ๆ คือ
- ระยะที่ I เซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะในอัณฑะ
- ระยะที่ II เซลล์มะเร็งแพร่ไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง
- ระยะที่ III ลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องร่วมกับมีสารบ่งชี้มะเร็งในเลือดสูง หรือ แพร่ไปต่อมน้ำเหลืองนอกช่องท้อง เช่น ช่องอก หรือเหนือกระดูกไหปลาร้า หรือ แพร่ไปอวัยวะอื่น เช่น ปอด สมอง
แนวทางการรักษา
ผู้ป่วยที่พบก้อนเนื้อในอัณฑะจากอัลตราซาวด์ต้องได้รับการผ่าตัดตัดอัณฑะทั้งก้อนทางขาหนีบ ไม่ผ่าผ่านถุงอัณฑะ และไม่ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนมาตรวจ หากผลตรวจชิ้นเนื้อไม่ใช่มะเร็ง การรักษาจะสิ้นสุด แต่ถ้าเป็นมะเร็ง แพทย์จะรายงานชนิดเซลล์ที่พบและทำ CT หรือ MRI เพื่อประเมินระยะ หากพบการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง อาจต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเลาะต่อมน้ำเหลืองออก
ในกลุ่ม Seminoma หลังผ่าตัด อาจให้เคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเสริมแม้อยู่ระยะ I เพื่อเพิ่มโอกาสหายขาด ส่วนกลุ่ม Non-seminoma จะให้เคมีบำบัดเป็นหลัก
การรักษาเหล่านี้อาจทำให้การสร้างสเปิร์มของอัณฑะอีกข้างลดลง และพบว่าประมาณ 50% ไม่สามารถสร้างสเปิร์มได้ภายใน 2 ปีหลังการรักษา ผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรควรพิจารณาเก็บสเปิร์ม (semen cryopreservation) ก่อนเริ่มการรักษา
สรุป
มะเร็งอัณฑะเป็นโรคที่แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสรักษาหายสูงหากพบตั้งแต่ระยะแรก ควรตรวจตนเองเป็นประจำ หากพบก้อนหรืออาการบวมควรรีบพบแพทย์ การวินิจฉัยอาศัยอัลตราซาวด์และการตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง การรักษาหลักคือผ่าตัดเอาอัณฑะออก และให้การรักษาเสริมตามชนิดและระยะของโรค เช่น เคมีบำบัด รังสี หรือผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง