เนื้องอกไม่ร้ายที่กระเพาะอาหาร (Benign gastric tumors)
กระเพาะอาหารเป็นถุงขนาด 15 x 30 cm วางตัวเฉียงอยู่บริเวณลิ้นปี่ค่อนไปทางซ้าย ทำหน้าที่รับอาหารที่เคี้ยวแล้วจากปากมาย่อยต่อ แม้ว่าเนื้องอกที่กระเพาะอาหารจะไม่พบบ่อยนัก แต่หากพูดถึงเนื้องอกในตำแหน่งนี้ ผู้คนมักจะนึกถึงมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นอันดับแรก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 90%
สำหรับเนื้องอกไม่ร้ายของกระเพาะอาหาร แม้จะพบได้น้อยกว่ามะเร็ง แต่ก็สามารถพบได้ในประชากรทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อมีการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เนื้องอกเหล่านี้มักไม่มีอาการ และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพหรือวินิจฉัยโรคอื่น
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดเนื้องอกไม่ร้าย ได้แก่ ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด การอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะอาหาร หรือการติดเชื้อ Helicobacter pylori อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจน
ชนิดของเนื้องอกไม่ร้ายที่กระเพาะอาหาร
เนื้องอกไม่ร้ายของกระเพาะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ไม่กลายเป็นมะเร็ง ได้แก่พวกติ่งเนื้อ (polyps) ชนิด hyperplastic, inflammatory fibroid และ hamartomatous เช่น Juvenile polyp, Peutz-Jegher's syndrome, และ Cowden's syndrome ซึ่งมักเกิดจากภาวะเยื่อบุกระเพาะอักเสบเรื้อรัง เช่น การติดเชื้อ H. pylori หรือภาวะกรดไหลย้อน
นอกจากนี้ยังมีเนื้องอกที่เกิดจากปลอกประสาท เช่น Schwannoma แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็มักพบที่กระเพาะอาหาร และมีพฤติกรรมไม่ร้าย
- กลุ่มที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง ได้แก่ Epithelial adenomas, Fundic gland polyps, Gastrointestinal stromal tumors (GISTs), Lipomas, Leiomyomas และพวก Neural tumors
เนื้องอกกลุ่มนี้พบได้ประมาณ 5–10% ของเนื้องอกไม่ร้ายทั้งหมด มักพบที่บริเวณ antrum และควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกรณีที่ผลชิ้นเนื้อบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการกลายเป็นมะเร็ง
อาการและวิธีตรวจวินิจฉัย
เนื้องอกไม่ร้ายในกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก แผล หรือการอุดตันของทางเดินอาหาร อาการที่อาจพบได้ ได้แก่ ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด หรือถ่ายอุจจาระสีดำลักษณะเหนียวคล้ายยางมะตอย ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีเลือดออกจำนวนมากในกระเพาะอาหาร กรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่มาก อาจสามารถคลำพบก้อนได้ที่หน้าท้อง
การตรวจวินิจฉัยประกอบด้วย:
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (EGD) – เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการตรวจพบและเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยาว่าเป็นชนิดใด และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งหรือไม่
- การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ผ่านกล้อง (Endoscopic ultrasound) – ใช้เพื่อประเมินความลึก ขนาด และแหล่งกำเนิดของเนื้องอก เช่น ในกรณีที่สงสัย GIST หรือ leiomyoma
- CT scan หรือ MRI – เหมาะสำหรับกรณีที่สงสัยว่าเนื้องอกมีขนาดใหญ่ หรือมีการลุกลามออกนอกกระเพาะ
การตรวจทางรังสีแบบ Upper GI series (การกลืนแบเรียมเพื่อตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น) ยังสามารถใช้ช่วยในการวินิจฉัยเนื้องอกในกระเพาะอาหารได้ โดยเฉพาะเนื้องอกขนาดใหญ่ที่มีผลต่อรูปร่างของกระเพาะ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถเก็บชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยได้ และความไวในการตรวจพบก้อนขนาดเล็กหรือแผลตื้นน้อยกว่า EGD ดังนั้น ในปัจจุบันจึงไม่ใช่วิธีหลักในการวินิจฉัย
การรักษา
แนวทางการรักษาขึ้นกับชนิด ขนาด ตำแหน่ง และพฤติกรรมของเนื้องอก โดยหลักๆ ได้แก่:
- การส่องกล้องตัดออก (endoscopic resection) – เหมาะกับก้อนขนาดเล็ก ไม่ลึก เช่น hyperplastic polyp หรือ adenoma
- การผ่าตัด – ใช้ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ ลุกลามลึก หรือมีความเป็นไปได้ว่าอาจกลายเป็นมะเร็ง เช่น GIST หรือ leiomyoma ที่มีขนาดโต
- การติดตามอาการ – สำหรับก้อนที่ไม่ก่ออาการ ขนาดเล็ก และไม่มีลักษณะน่าสงสัย แพทย์อาจแนะนำให้ติดตามด้วยการส่องกล้องเป็นระยะ
สรุป
เนื้องอกไม่ร้ายของกระเพาะอาหารเป็นภาวะที่พบได้บ้างในคลินิก แม้จะไม่ใช่มะเร็ง แต่บางชนิดอาจมีแนวโน้มกลายเป็นมะเร็งได้ จึงควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้องอก ขนาด ลักษณะ และความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อร้าย โดยทั่วไป การส่องกล้องและเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อมีความสำคัญต่อการวางแผนรักษาและการติดตามผลในระยะยาว