มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer)

ตับอ่อนเป็นอวัยวะยาวเรียวที่อยู่ด้านหลังของกระเพาะอาหาร ใต้ตับ รูปร่างคล้ายตัวการันต์ โดยส่วนหัวของตับอ่อนจะอยู่ติดกับลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) และส่วนปลายยื่นไปทางม้าม ตับอ่อนมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ หน้าที่ทางต่อมไร้ท่อ (endocrine) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน เช่น อินซูลิน และกลูคากอน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ หน้าที่ทางต่อมมีท่อ (exocrine) ที่ผลิตน้ำย่อยเพื่อช่วยย่อยไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตในลำไส้เล็ก

มะเร็งตับอ่อนพบได้ไม่บ่อยนัก คิดเป็นเพียงประมาณ 1% ของมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร แต่เป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง วินิจฉัยและรักษาได้ยาก พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 4 เท่า และมักพบในช่วงอายุ 40–70 ปี สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

  • การสูบบุหรี่จัด
  • การดื่มสุรามาก
  • โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (chronic pancreatitis)
  • โรคเบาหวาน
  • โรคอ้วน
  • พันธุกรรมหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับอ่อน

อาการของมะเร็งตับอ่อน

อาการของมะเร็งตับอ่อนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ก้อนเนื้อเกิดขึ้น หากเกิดที่ ส่วนหัวของตับอ่อน มักไปกดเบียดท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง จุกแน่นท้องส่วนบน และอาจคลำได้ก้อนแข็งบริเวณท้อง นอกจากนี้ยังอาจพบตับโต ถุงน้ำดีโต เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด

หากมะเร็งอยู่ที่ ส่วนตัวหรือหางของตับอ่อน จะมีอาการปวดท้องร่วมกับปวดกลางหลัง อาการตัวเหลืองมักแสดงช้ากว่า

เมื่อก้อนเนื้องอกโตขึ้น มักลุกลามไปทางด้านหลัง และรุกรานเส้นเลือดสำคัญ เช่น superior mesenteric artery, splenic vein, portal vein และ celiac artery รวมถึงปมประสาท (superior mesenteric plexus) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยปวดท้องอย่างรุนแรง คล้ายถูกแทงบริเวณลิ้นปี่แล้วทะลุไปด้านหลัง การลุกลามไปยังเส้นเลือดเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ตัดสินว่าสามารถผ่าตัดรักษาได้หรือไม่

หากโรคลุกลามมากขึ้น มะเร็งมักแพร่กระจายไปยังปอด ตับ และกระดูก จึงต้องตรวจเอกซเรย์ทรวงอกร่วมด้วย เพื่อประเมินว่ามีก้อนหรือน้ำในช่องอกหรือไม่



การตรวจวินิจฉัย

การวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนมักใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่:

  • การตรวจเลือด: เช่น การวัดระดับ CA 19-9 ซึ่งเป็นสารบ่งชี้มะเร็ง แต่ไม่จำเพาะ มักใช้ติดตามผลการรักษามากกว่าจะใช้วินิจฉัย
  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง หรือ อัลตราซาวด์ผ่านทางหลอดอาหาร (EUS): การทำอัลตราซาวด์จากหน้าท้องมักมองไม่เห็นรายละเอียดของตับอ่อน เพราะเป็นอวัยวะที่อยู่ลึก อัลตราซาวด์ผ่านทางหลอดอาหารจะเห็นรายละเอียดของตับอ่อนและต่อมน้ำเหลืองรอบตับอ่อนได้ชัดกว่า
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และ MRI: ใช้ประเมินขนาด ตำแหน่ง และการลุกลามของก้อนมะเร็ง
  • การส่องกล้อง ERCP: เพื่อดูท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน
  • การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy): ภายใต้การนำทางของ EUS หรือ CT เพื่อยืนยันผลทางพยาธิวิทยา
  • การส่องกล้องตรวจภายในช่องท้อง (laparoscopy): เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น

จะเห็นได้ว่ากระบวนการวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนมีความซับซ้อน ต้องอาศัยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อุปกรณ์เฉพาะทาง และมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งบางวิธีก็มีความเสี่ยงต่อผู้ป่วย

การรักษามะเร็งตับอ่อน

แนวทางการรักษาหลักมี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่สามารถผ่าตัดได้ และ กลุ่มที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

กลุ่มที่ผ่าตัดได้ (ประมาณ 15–20% ของผู้ป่วย) คือผู้ที่มะเร็งยังไม่ลุกลามมากและมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงพอรับการผ่าตัดใหญ่ได้ หลังการผ่าตัด แพทย์จะนำเนื้อเยื่อที่ตัดออกไปตรวจเพื่อระบุระยะของโรคอย่างละเอียด และพิจารณาการให้เคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

กลุ่มที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ คือผู้ป่วยที่มะเร็งลุกลามไปมาก หากร่างกายยังแข็งแรง อาจรักษาด้วยเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษา แต่หากไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ การดูแลจะเน้นไปที่การประคับประคองอาการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

การพยากรณ์โรค

มะเร็งตับอ่อนจัดเป็นโรคที่มีพยากรณ์โรคไม่ดี แม้ในกลุ่มที่สามารถผ่าตัดก้อนมะเร็งออกได้ทั้งหมด อัตราการรอดชีวิต 3 ปีมีเพียงประมาณ 30% ส่วนผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่อวัยวะอื่นยังไม่ถูกลุกลาม มีโอกาสอยู่รอดประมาณ 1 ปี สำหรับผู้ป่วยที่โรคแพร่กระจายแล้ว มักมีอายุขัยเพียง 3–6 เดือนเท่านั้น

สรุป

มะเร็งตับอ่อนเป็นโรคร้ายแรงที่มีความท้าทายในการวินิจฉัยและรักษา เนื่องจากอาการไม่ชัดเจนในระยะแรกและมีอัตราการแพร่กระจายสูง การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การเลิกบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพทั่วไป อาจช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การใส่ใจต่ออาการผิดปกติและเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญต่อการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น