เนื้องอกที่ลำไส้เล็ก (Small intestine tumors)

ลำไส้เล็กเป็นท่อยาวประมาณ 6-10 เมตร มีหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ภายในลำไส้เล็กจะมีโครงสร้างเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาเรียกว่า "วิลไล (Villi)" ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ลำไส้เล็กแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

  1. ส่วนต้น (Duodenum) เป็นส่วนที่สั้นที่สุด และอยู่ติดกับกระเพาะอาหาร โดยมีรูเปิดของท่อน้ำดีและท่อน้ำย่อยจากตับอ่อนเข้าสู่บริเวณนี้ ทำให้เป็นส่วนแรกของลำไส้ที่สัมผัสกับกรดจากกระเพาะโดยตรง โรคแผลในกระเพาะอาหารอาจลุกลามมาถึงลำไส้เล็กส่วนต้นได้
  2. ส่วนกลาง (Jejunum) มีความยาวประมาณ 8-9 ฟุต และในร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตแล้วมักพบว่าส่วนนี้จะว่างอยู่เสมอ
  3. ส่วนปลาย (Ileum) เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารมากที่สุดในทั้งสามส่วน

เนื้องอกไม่ร้ายที่ลำไส้เล็ก (Benign small intestinal tumors)

ติ่งเนื้อที่ลำไส้เล็กโดยทั่วไปมักเป็นติ่งเดี่ยว ยกเว้นในบางกลุ่มอาการ เช่น intestinal polyposis ที่อาจพบหลายติ่งกระจายทั่วทางเดินอาหาร โดยมากมักไม่แสดงอาการ และเกือบครึ่งของผู้ป่วยตรวจพบโดยบังเอิญจากการส่องกล้องหรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

ชนิดของเนื้องอกไม่ร้ายที่พบบ่อย ได้แก่:

  1. อะดีโนมา (Adenoma) มักพบบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ใกล้รูเปิดของท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน หากก้อนมีขนาดใหญ่ อาจอุดทางเปิดของท่อจนเกิดอาการดีซ่านได้ อีกทั้งมีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็ง ดังนั้น เมื่อส่องกล้องเข้าไปพบติ่งเนื้อในบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์จะทำการตัดออกให้จนหมด
  2. ไลโอมัยโอมา (Leiomyoma) เป็นเนื้องอกของชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ พบได้ทั่วทุกส่วนของลำไส้เล็ก มักทำให้เกิดแผลและมีเลือดออก ส่งผลให้ผู้ป่วยปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด หรือถ่ายดำ การวินิจฉัยค่อนข้างยากเพราะก้อนอาจอยู่ภายในผนังลำไส้ ต้องอาศัยการตรวจด้วยกล้องอัลตราซาวด์ (Endoscopic ultrasound) และควรผ่าตัดออกเพราะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง
  3. ฮามาร์โตมา (Hamartoma) เป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในลำไส้เล็กส่วนกลางและส่วนปลาย สัมพันธ์กับกลุ่มอาการ Peutz-Jeghers อาจทำให้เลือดออกหรืออุดตัน แม้มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ก็น้อยกว่า adenoma และ leiomyoma
  4. ไลโปมา (Lipoma) เป็นการรวมตัวกันของเนื้อเยื่อไขมันใต้เยื่อบุลำไส้ เวลาส่องกล้องเข้าไปจะเห็นเป็นก้อนสีเหลืองที่ผนัง ไม่มีอันตราย ไม่จำเป็นต้องตัดออก
  5. ฮีแมงจิโอมา (Hemangioma) เป็นกลุ่มของหลอดเลือดที่รวมตัวกันที่ผนังลำไส้หรือกระเพาะอาหาร มักสัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางพันธุกรรม เช่น Turners syndrome, Tuberous sclerosis, Blue-rubber-bleb syndrome, Osler-Weber-Rendu syndrome หากมีเลือดออกมากถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม ต้องรีบผ่าตัดลำไส้ส่วนนี้ออก แต่หากพบโดยบังเอิญอาจใช้วิธีจี้หลอดเลือดหรือให้ยาลดความเสี่ยงการฉีกขาด
  6. นิวโรไฟโบรมา (Neurofibroma) เป็นเนื้องอกของเนื้อเยื่อประสาท หากพบหลายก้อนควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับโรค Neurofibromatosis และควรตัดชิ้นเนื้อตรวจเพื่อแยกจาก polyposis ชนิดอื่น


เนื้องอกร้ายที่ลำไส้เล็ก (Malignant small intestinal tumors)

มะเร็งลำไส้เล็กพบได้น้อยเมื่อเทียบกับมะเร็งทางเดินอาหารส่วนอื่น ๆ และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง กว่าร้อยละ 90 จะตกอยู่ในชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้

  1. Adenocarcinoma เป็นมะเร็งที่พัฒนามาจากเนื้องอก adenoma ที่พบที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงมักทำให้เกิดการอุดตันทางออกของท่อน้ำดี เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้คือ
    • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (เช่น Crohn’s, Celiac sprue)
    • เคยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ หรือมีประวัติผ่าตัดในช่องท้อง
    • โรคพันธุกรรม เช่น Neurofibromatosis, Familial adenomatous polyposis, Lynch syndrome, Peutz-Jeghers syndrome, Cystic fibrosis, หรือมียีนกลายพันธุ์ เช่น MUTYH
    • การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  2. Leiomyosarcoma เป็นมะเร็งของเซลล์กล้ามเนื้อที่ผนังลำไส้ อาจพัฒนาต่อมาจาก leiomyoma มักทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
  3. Intestinal lymphoma เป็นมะเร็งของระบบน้ำเหลืองภายในลำไส้ พบบ่อยในผู้ป่วยเอดส์, celiac sprue อาการคือ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด เกิดภาวะทุพโภชนาการ และมีเลือดออก หากมีขนาดโตมากก็อาจอุดตันลำไส้ได้
  4. Gastrointestinal carcinoid tumors เป็นมะเร็งของเซลล์ประสาทที่หลั่งฮอร์โมนได้ (neuroendocrine cells) ปกติพบได้ในหลายอวัยวะ เช่น ปอด ตับอ่อน และในทางเดินอาหาร มักจะโตช้า ถ้าเป็นที่ลำไส้เล็กจะทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน เป็นพัก ๆ และนานไปจะมีน้ำหนักตัวลด
  5. Gastrointestinal stromal tumors (GISTs) เป็นเนื้องอกของทางเดินอาหารที่พบได้น้อยมาก มีกำเนิดมาจาก interstitial cells of Cajal (ICCs) ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบประสาทอัตโนมัติ เนื้องอก GISTs มีทั้งเนื้อร้ายและไม่ร้าย อาการเริ่มต้นคือท้องอืดเรื้อรัง ต่อเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงจะอุดตันทางเดินอาหารหรือทำให้มีเลือดออก

นอกจากนั้นยังมีมะเร็งของอวัยวะอื่นกระจายมาที่ลำไส้เล็ก แต่ก็พบได้น้อยมาก

การวินิจฉัย

การค้นหามะเร็งลำไส้เล็กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการส่องกล้องเข้าทางปากมักไปถึงได้แค่ลำไส้เล็กส่วนต้น และถ้าเข้าทางทวารหนักก็ไปได้ไกลแค่ลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัม แต่ในรายที่มีอาการเลือดออก (ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ), ลำไส้อุดตัน (ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน คลำได้ก้อนในบริเวณช่องท้อง), หรือปวดท้องเรื้อรัง เป็นไข้ น้ำหนักลด แล้วส่องกล้องทั้งบนและล่างแล้วยังไม่พบสาเหตุ ควรทำการตรวจเพิ่มดังต่อไปนี้

  1. ตรวจอุจจาระหาภาวะเลือดซ่อนเร้น (Stool occult blood) ยกเว้นในรายที่มีการถ่ายเป็นเลือดหรือถ่ายดำชัดเจน
  2. การกลืนกล้องแคปซูล (Capsule Endoscopy) เพื่อดูภาพภายในลำไส้เล็กทั้งหมด
  3. การส่องกล้องลำไส้เล็ก (Enteroscopy) และส่องกล้องอัลตราซาวด์ (Endoscopic Ultrasonography) โดยแพทย์เฉพาะทาง

การตรวจสาร CEA ใช้เพื่อติดตามผลการรักษาหรือการกลับเป็นซ้ำในผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเท่านั้น ไม่เหมาะกับการตรวจคัดกรองในคนทั่วไป

การรักษา

หากตรวจพบในระยะแรก การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลัก แต่หากไม่สามารถตัดออกได้หมด อาจต้องใช้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีร่วมด้วย หากเกิดการอุดตันจนลำไส้เน่า ศัลยแพทย์อาจต้องทำการตัดต่อลำไส้และเปิดลำไส้ไว้ที่ผนังหน้าท้อง (ileostomy)

สรุป

เนื้องอกที่ลำไส้เล็กทั้งชนิดไม่ร้ายและร้ายอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก การตรวจพบมักเกิดโดยบังเอิญจากการส่องกล้องหรืออาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกหรืออุดตัน การวินิจฉัยจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ เช่น กล้องแคปซูล หรือ enteroscopy ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค โดยในระยะแรกมักใช้การผ่าตัด หากลุกลามอาจต้องเสริมด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ดังนั้น การใส่ใจต่ออาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและตรวจสุขภาพตามความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที