เนื้องอกที่ลำไส้เล็ก (Small intestine tumors)
ลำไส้เล็กเป็นท่อยาวประมาณ 6-10 เมตร มีหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ภายในลำไส้เล็กจะมีโครงสร้างเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาเรียกว่า "วิลไล (Villi)" ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ลำไส้เล็กแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนต้น (Duodenum) เป็นส่วนที่สั้นที่สุด และอยู่ติดกับกระเพาะอาหาร โดยมีรูเปิดของท่อน้ำดีและท่อน้ำย่อยจากตับอ่อนเข้าสู่บริเวณนี้ ทำให้เป็นส่วนแรกของลำไส้ที่สัมผัสกับกรดจากกระเพาะโดยตรง โรคแผลในกระเพาะอาหารอาจลุกลามมาถึงลำไส้เล็กส่วนต้นได้
- ส่วนกลาง (Jejunum) มีความยาวประมาณ 8-9 ฟุต และในร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตแล้วมักพบว่าส่วนนี้จะว่างอยู่เสมอ
- ส่วนปลาย (Ileum) เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารมากที่สุดในทั้งสามส่วน
เนื้องอกไม่ร้ายที่ลำไส้เล็ก (Benign small intestinal tumors)
ติ่งเนื้อที่ลำไส้เล็กโดยทั่วไปมักเป็นติ่งเดี่ยว ยกเว้นในบางกลุ่มอาการ เช่น intestinal polyposis ที่อาจพบหลายติ่งกระจายทั่วทางเดินอาหาร โดยมากมักไม่แสดงอาการ และเกือบครึ่งของผู้ป่วยตรวจพบโดยบังเอิญจากการส่องกล้องหรือตรวจพิเศษอื่น ๆ
ชนิดของเนื้องอกไม่ร้ายที่พบบ่อย ได้แก่:
- อะดีโนมา (Adenoma) มักพบบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ใกล้รูเปิดของท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน หากก้อนมีขนาดใหญ่ อาจอุดทางเปิดของท่อจนเกิดอาการดีซ่านได้ อีกทั้งมีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็ง ดังนั้น เมื่อส่องกล้องเข้าไปพบติ่งเนื้อในบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์จะทำการตัดออกให้จนหมด
- ไลโอมัยโอมา (Leiomyoma) เป็นเนื้องอกของชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ พบได้ทั่วทุกส่วนของลำไส้เล็ก มักทำให้เกิดแผลและมีเลือดออก ส่งผลให้ผู้ป่วยปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด หรือถ่ายดำ การวินิจฉัยค่อนข้างยากเพราะก้อนอาจอยู่ภายในผนังลำไส้ ต้องอาศัยการตรวจด้วยกล้องอัลตราซาวด์ (Endoscopic ultrasound) และควรผ่าตัดออกเพราะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง
- ฮามาร์โตมา (Hamartoma) เป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในลำไส้เล็กส่วนกลางและส่วนปลาย สัมพันธ์กับกลุ่มอาการ Peutz-Jeghers อาจทำให้เลือดออกหรืออุดตัน แม้มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ก็น้อยกว่า adenoma และ leiomyoma
- ไลโปมา (Lipoma) เป็นการรวมตัวกันของเนื้อเยื่อไขมันใต้เยื่อบุลำไส้ เวลาส่องกล้องเข้าไปจะเห็นเป็นก้อนสีเหลืองที่ผนัง ไม่มีอันตราย ไม่จำเป็นต้องตัดออก
- ฮีแมงจิโอมา (Hemangioma) เป็นกลุ่มของหลอดเลือดที่รวมตัวกันที่ผนังลำไส้หรือกระเพาะอาหาร มักสัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางพันธุกรรม เช่น Turners syndrome, Tuberous sclerosis, Blue-rubber-bleb syndrome, Osler-Weber-Rendu syndrome หากมีเลือดออกมากถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม ต้องรีบผ่าตัดลำไส้ส่วนนี้ออก แต่หากพบโดยบังเอิญอาจใช้วิธีจี้หลอดเลือดหรือให้ยาลดความเสี่ยงการฉีกขาด
- นิวโรไฟโบรมา (Neurofibroma) เป็นเนื้องอกของเนื้อเยื่อประสาท หากพบหลายก้อนควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับโรค Neurofibromatosis และควรตัดชิ้นเนื้อตรวจเพื่อแยกจาก polyposis ชนิดอื่น
เนื้องอกร้ายที่ลำไส้เล็ก (Malignant small intestinal tumors)
มะเร็งลำไส้เล็กพบได้น้อยเมื่อเทียบกับมะเร็งทางเดินอาหารส่วนอื่น ๆ และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง กว่าร้อยละ 90 จะตกอยู่ในชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้
- Adenocarcinoma เป็นมะเร็งที่พัฒนามาจากเนื้องอก adenoma ที่พบที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงมักทำให้เกิดการอุดตันทางออกของท่อน้ำดี เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้คือ
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (เช่น Crohn’s, Celiac sprue)
- เคยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ หรือมีประวัติผ่าตัดในช่องท้อง
- โรคพันธุกรรม เช่น Neurofibromatosis, Familial adenomatous polyposis, Lynch syndrome, Peutz-Jeghers syndrome, Cystic fibrosis, หรือมียีนกลายพันธุ์ เช่น MUTYH
- การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
- Leiomyosarcoma เป็นมะเร็งของเซลล์กล้ามเนื้อที่ผนังลำไส้ อาจพัฒนาต่อมาจาก leiomyoma มักทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
- Intestinal lymphoma เป็นมะเร็งของระบบน้ำเหลืองภายในลำไส้ พบบ่อยในผู้ป่วยเอดส์, celiac sprue อาการคือ ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด เกิดภาวะทุพโภชนาการ และมีเลือดออก หากมีขนาดโตมากก็อาจอุดตันลำไส้ได้
- Gastrointestinal carcinoid tumors เป็นมะเร็งของเซลล์ประสาทที่หลั่งฮอร์โมนได้ (neuroendocrine cells) ปกติพบได้ในหลายอวัยวะ เช่น ปอด ตับอ่อน และในทางเดินอาหาร มักจะโตช้า ถ้าเป็นที่ลำไส้เล็กจะทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน เป็นพัก ๆ และนานไปจะมีน้ำหนักตัวลด
- Gastrointestinal stromal tumors (GISTs) เป็นเนื้องอกของทางเดินอาหารที่พบได้น้อยมาก มีกำเนิดมาจาก interstitial cells of Cajal (ICCs) ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบประสาทอัตโนมัติ เนื้องอก GISTs มีทั้งเนื้อร้ายและไม่ร้าย อาการเริ่มต้นคือท้องอืดเรื้อรัง ต่อเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงจะอุดตันทางเดินอาหารหรือทำให้มีเลือดออก
นอกจากนั้นยังมีมะเร็งของอวัยวะอื่นกระจายมาที่ลำไส้เล็ก แต่ก็พบได้น้อยมาก
การวินิจฉัย
การค้นหามะเร็งลำไส้เล็กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการส่องกล้องเข้าทางปากมักไปถึงได้แค่ลำไส้เล็กส่วนต้น และถ้าเข้าทางทวารหนักก็ไปได้ไกลแค่ลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัม แต่ในรายที่มีอาการเลือดออก (ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ), ลำไส้อุดตัน (ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน คลำได้ก้อนในบริเวณช่องท้อง), หรือปวดท้องเรื้อรัง เป็นไข้ น้ำหนักลด แล้วส่องกล้องทั้งบนและล่างแล้วยังไม่พบสาเหตุ ควรทำการตรวจเพิ่มดังต่อไปนี้
- ตรวจอุจจาระหาภาวะเลือดซ่อนเร้น (Stool occult blood) ยกเว้นในรายที่มีการถ่ายเป็นเลือดหรือถ่ายดำชัดเจน
- การกลืนกล้องแคปซูล (Capsule Endoscopy) เพื่อดูภาพภายในลำไส้เล็กทั้งหมด
- การส่องกล้องลำไส้เล็ก (Enteroscopy) และส่องกล้องอัลตราซาวด์ (Endoscopic Ultrasonography) โดยแพทย์เฉพาะทาง
การตรวจสาร CEA ใช้เพื่อติดตามผลการรักษาหรือการกลับเป็นซ้ำในผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเท่านั้น ไม่เหมาะกับการตรวจคัดกรองในคนทั่วไป
การรักษา
หากตรวจพบในระยะแรก การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลัก แต่หากไม่สามารถตัดออกได้หมด อาจต้องใช้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีร่วมด้วย หากเกิดการอุดตันจนลำไส้เน่า ศัลยแพทย์อาจต้องทำการตัดต่อลำไส้และเปิดลำไส้ไว้ที่ผนังหน้าท้อง (ileostomy)
สรุป
เนื้องอกที่ลำไส้เล็กทั้งชนิดไม่ร้ายและร้ายอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก การตรวจพบมักเกิดโดยบังเอิญจากการส่องกล้องหรืออาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกหรืออุดตัน การวินิจฉัยจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ เช่น กล้องแคปซูล หรือ enteroscopy ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค โดยในระยะแรกมักใช้การผ่าตัด หากลุกลามอาจต้องเสริมด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ดังนั้น การใส่ใจต่ออาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและตรวจสุขภาพตามความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที