เนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูก (Benign tumors of cervix)
ปากมดลูก หรือคอมดลูก เป็นส่วนหนึ่งของมดลูกที่ยื่นเข้ามาในช่องคลอด ลักษณะคอดคล้ายปากขวด โดยมดลูกเปรียบเสมือนขวดคว่ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- ส่วนนอก (Ectocervix) — ผิวเรียบ สีขาวปนชมพู บุด้วยเซลล์ชนิดแบน (squamous cells)
- ส่วนใน (Endocervix) — ผิวสีแดงปนชมพูคล้ายกำมะหยี่ บุด้วยเซลล์รูปร่างแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (columnar cells) รอบรูเปิดเข้าสู่โพรงมดลูก
บริเวณรอยต่อระหว่าง ectocervix และ endocervix เป็นจุดที่มักเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยเสี่ยง ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดเนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูก ได้แก่
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อ HPV บางชนิด
- การอักเสบเรื้อรังหรือการระคายเคือง เช่น การติดเชื้อซ้ำ
- ฮอร์โมนเพศ (บางชนิดของเนื้องอกตอบสนองต่อฮอร์โมน จึงพบได้บ่อยในช่วงวัยที่มีฮอร์โมนสูง)
- อายุและประวัติการคลอดบุตร
ชนิดของเนื้องอก/ติ่งเนื้อ
-
Cervical polyps — พบบ่อยที่สุด เป็นติ่งเนื้อที่ยื่นจาก endocervix อาจทำให้เลือดออกผิดปกติหรือมีตกขาว
ลักษณะ: ติ่งเนื้อเรียบ อาจมีหลายติ่งหรือยาวหลายเซนติเมตร
โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ต่ำมาก ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่ออักเสบหรือ hyperplastic แต่ควรตัดชิ้นเนื้อตรวจเพื่อยืนยัน
-
Nabothian cyst — เกิดจากการอุดตันของต่อมเมือกที่ปากมดลูกหลังการอักเสบ การแท้ง หรือคลอดบุตร มักไม่มีอาการ และพบโดยบังเอิญจากการตรวจภายใน
ลักษณะ: ถุงน้ำเล็กใต้ผิวเยื่อบุ สีขาวเหลืองบน ectocervix
โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ไม่มี
-
Condyloma acuminatum — หูดที่เกิดจากเชื้อ HPV type 6 และ 11 มักพบในผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
ลักษณะ: ตุ่มนูนลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำหรือหงอนไก่ บริเวณ ectocervix
อาการ: อาจมีตกขาว ระคายเคือง หรือเลือดออกเล็กน้อย
โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ต่ำใน HPV type 6, 11 แต่ถ้ามีการติดเชื้อชนิด high-risk (type 16, 18) ร่วม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์ผิดปกติและมะเร็ง จึงควรตรวจแยกชนิด HPV และติดตามอาการ
-
Cervical leiomyoma / fibroid — ก้อนเนื้อจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก พบน้อยกว่า uterine fibroid อาจทำให้เลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะแสบขัด หรือกดทับอวัยวะข้างเคียง
ลักษณะ: ก้อนกลมแข็ง อยู่ใต้เยื่อบุหรือในผนังปากมดลูก ขนาดและตำแหน่งมีผลต่ออาการ
โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: น้อยมาก แต่ถ้าก้อนใหญ่ควรพิจารณาผ่าตัด
-
ชนิดอื่น ๆ
- Glandular hyperplasia / tunnel clusters — การโตของต่อมเยื่อบุรวมกันเป็นกลุ่ม มักไม่ร้าย
- Benign mesenchymal tumors (เช่น fibroepithelial polyp) — พบได้แต่ไม่บ่อย
หากพบก้อนผิดปกติทุกชนิด ควรตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจยืนยันเมื่อมีข้อสงสัย
วิธีตรวจวินิจฉัย
ใช้การตรวจหลายวิธีร่วมกันเพื่อความแม่นยำ ได้แก่
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย: ประเมินอาการเลือดออกผิดปกติ ตกขาว ปวด หรือกดทับ
- ตรวจด้วย speculum: สังเกตติ่งเนื้อหรือการเปลี่ยนสีผิวบริเวณ ectocervix
- Pap smear: คัดกรองความผิดปกติของเซลล์ หากผิดปกติควรตรวจเพิ่มเติม
- HPV testing: ประเมินการติดเชื้อและความเสี่ยงต่อเซลล์ผิดปกติ
- Colposcopy: ใช้กรดอะซิติกหรือโซเดียมไอโอดีนช่วยให้เห็นรอยโรคชัดขึ้น
- Biopsy / ECC: ตัดชิ้นเนื้อตรวจพยาธิวิทยา
- Ultrasound (TVS หรือ abdominal): ประเมินขนาดและตำแหน่ง โดยเฉพาะถ้าก้อนใหญ่
- MRI: ใช้ในกรณีต้องวางแผนผ่าตัดก้อนขนาดใหญ่
วิธีรักษา
พิจารณาตามชนิด ขนาด ตำแหน่ง และอาการ
- การเฝ้าสังเกต: สำหรับก้อนเล็ก ไม่มีอาการ และผลชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็น benign
- การผ่าตัด/หัตถการ มีหลายวิธี เช่น
- Polypectomy: ตัดติ่งเนื้อด้วย forceps หรือใช้ electrocautery/LEEP ขึ้นกับขนาดและฐาน
- LEEP / conization: ใช้เมื่อต้องตัดบริเวณกว้างหรือมีเซลล์ผิดปกติร่วม
- Cryotherapy / laser: รักษาหูดจาก HPV
- ผ่าตัดเปิดหรือ MRI-guided: สำหรับก้อนใหญ่ที่กดทับโครงสร้างสำคัญ
- Hysterectomy: ตัดมดลูก พิจารณาในกรณีเลือดออกมากหรือไม่ต้องการเก็บมดลูก
- การใช้ยา: เช่น ยาปฏิชีวนะกรณีมีการอักเสบร่วม หรือฮอร์โมนในเนื้องอกที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน
หลังการรักษา/ตัดชิ้นเนื้อ ควรติดตามผลทางคลินิกและตรวจ Pap/HPV ตามแพทย์แนะนำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่กลับมาเป็นซ้ำหรือมีความผิดปกติอื่นร่วม
สรุป
เนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูกมีหลายชนิด ส่วนใหญ่รักษาได้ง่ายและพยากรณ์โรคดี การรักษาอาจใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนออก หรือเฝ้าติดตามหากไม่มีอาการ โอกาสกลายเป็นมะเร็งโดยตรงต่ำ แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ HPV ชนิด high-risk ควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด
หากมีอาการเลือดออกผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่น หรือพบติ่งเนื้อ ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา