เนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูก (Benign tumors of cervix)

ปากมดลูก หรือคอมดลูก เป็นส่วนหนึ่งของมดลูกที่ยื่นเข้ามาในช่องคลอด ลักษณะคอดคล้ายปากขวด โดยมดลูกเปรียบเสมือนขวดคว่ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  • ส่วนนอก (Ectocervix) — ผิวเรียบ สีขาวปนชมพู บุด้วยเซลล์ชนิดแบน (squamous cells)
  • ส่วนใน (Endocervix) — ผิวสีแดงปนชมพูคล้ายกำมะหยี่ บุด้วยเซลล์รูปร่างแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (columnar cells) รอบรูเปิดเข้าสู่โพรงมดลูก

บริเวณรอยต่อระหว่าง ectocervix และ endocervix เป็นจุดที่มักเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก

ปัจจัยเสี่ยง ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดเนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูก ได้แก่

  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อ HPV บางชนิด
  • การอักเสบเรื้อรังหรือการระคายเคือง เช่น การติดเชื้อซ้ำ
  • ฮอร์โมนเพศ (บางชนิดของเนื้องอกตอบสนองต่อฮอร์โมน จึงพบได้บ่อยในช่วงวัยที่มีฮอร์โมนสูง)
  • อายุและประวัติการคลอดบุตร

ชนิดของเนื้องอก/ติ่งเนื้อ

  1. Cervical polyps — พบบ่อยที่สุด เป็นติ่งเนื้อที่ยื่นจาก endocervix อาจทำให้เลือดออกผิดปกติหรือมีตกขาว

    ลักษณะ: ติ่งเนื้อเรียบ อาจมีหลายติ่งหรือยาวหลายเซนติเมตร
    โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ต่ำมาก ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่ออักเสบหรือ hyperplastic แต่ควรตัดชิ้นเนื้อตรวจเพื่อยืนยัน

  2. Nabothian cyst — เกิดจากการอุดตันของต่อมเมือกที่ปากมดลูกหลังการอักเสบ การแท้ง หรือคลอดบุตร มักไม่มีอาการ และพบโดยบังเอิญจากการตรวจภายใน

    ลักษณะ: ถุงน้ำเล็กใต้ผิวเยื่อบุ สีขาวเหลืองบน ectocervix
    โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ไม่มี

  3. Condyloma acuminatum — หูดที่เกิดจากเชื้อ HPV type 6 และ 11 มักพบในผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

    ลักษณะ: ตุ่มนูนลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำหรือหงอนไก่ บริเวณ ectocervix
    อาการ: อาจมีตกขาว ระคายเคือง หรือเลือดออกเล็กน้อย
    โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: ต่ำใน HPV type 6, 11 แต่ถ้ามีการติดเชื้อชนิด high-risk (type 16, 18) ร่วม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์ผิดปกติและมะเร็ง จึงควรตรวจแยกชนิด HPV และติดตามอาการ

  4. Cervical leiomyoma / fibroid — ก้อนเนื้อจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก พบน้อยกว่า uterine fibroid อาจทำให้เลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะแสบขัด หรือกดทับอวัยวะข้างเคียง

    ลักษณะ: ก้อนกลมแข็ง อยู่ใต้เยื่อบุหรือในผนังปากมดลูก ขนาดและตำแหน่งมีผลต่ออาการ
    โอกาสกลายเป็นมะเร็ง: น้อยมาก แต่ถ้าก้อนใหญ่ควรพิจารณาผ่าตัด

  5. ชนิดอื่น ๆ
    • Glandular hyperplasia / tunnel clusters — การโตของต่อมเยื่อบุรวมกันเป็นกลุ่ม มักไม่ร้าย
    • Benign mesenchymal tumors (เช่น fibroepithelial polyp) — พบได้แต่ไม่บ่อย

    หากพบก้อนผิดปกติทุกชนิด ควรตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจยืนยันเมื่อมีข้อสงสัย



วิธีตรวจวินิจฉัย

ใช้การตรวจหลายวิธีร่วมกันเพื่อความแม่นยำ ได้แก่

  1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย: ประเมินอาการเลือดออกผิดปกติ ตกขาว ปวด หรือกดทับ
  2. ตรวจด้วย speculum: สังเกตติ่งเนื้อหรือการเปลี่ยนสีผิวบริเวณ ectocervix
  3. Pap smear: คัดกรองความผิดปกติของเซลล์ หากผิดปกติควรตรวจเพิ่มเติม
  4. HPV testing: ประเมินการติดเชื้อและความเสี่ยงต่อเซลล์ผิดปกติ
  5. Colposcopy: ใช้กรดอะซิติกหรือโซเดียมไอโอดีนช่วยให้เห็นรอยโรคชัดขึ้น
  6. Biopsy / ECC: ตัดชิ้นเนื้อตรวจพยาธิวิทยา
  7. Ultrasound (TVS หรือ abdominal): ประเมินขนาดและตำแหน่ง โดยเฉพาะถ้าก้อนใหญ่
  8. MRI: ใช้ในกรณีต้องวางแผนผ่าตัดก้อนขนาดใหญ่

วิธีรักษา

พิจารณาตามชนิด ขนาด ตำแหน่ง และอาการ

  1. การเฝ้าสังเกต: สำหรับก้อนเล็ก ไม่มีอาการ และผลชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็น benign
  2. การผ่าตัด/หัตถการ มีหลายวิธี เช่น
    • Polypectomy: ตัดติ่งเนื้อด้วย forceps หรือใช้ electrocautery/LEEP ขึ้นกับขนาดและฐาน
    • LEEP / conization: ใช้เมื่อต้องตัดบริเวณกว้างหรือมีเซลล์ผิดปกติร่วม
    • Cryotherapy / laser: รักษาหูดจาก HPV
    • ผ่าตัดเปิดหรือ MRI-guided: สำหรับก้อนใหญ่ที่กดทับโครงสร้างสำคัญ
    • Hysterectomy: ตัดมดลูก พิจารณาในกรณีเลือดออกมากหรือไม่ต้องการเก็บมดลูก
  3. การใช้ยา: เช่น ยาปฏิชีวนะกรณีมีการอักเสบร่วม หรือฮอร์โมนในเนื้องอกที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน

หลังการรักษา/ตัดชิ้นเนื้อ ควรติดตามผลทางคลินิกและตรวจ Pap/HPV ตามแพทย์แนะนำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่กลับมาเป็นซ้ำหรือมีความผิดปกติอื่นร่วม

สรุป

เนื้องอกไม่ร้ายที่ปากมดลูกมีหลายชนิด ส่วนใหญ่รักษาได้ง่ายและพยากรณ์โรคดี การรักษาอาจใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนออก หรือเฝ้าติดตามหากไม่มีอาการ โอกาสกลายเป็นมะเร็งโดยตรงต่ำ แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ HPV ชนิด high-risk ควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด

หากมีอาการเลือดออกผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่น หรือพบติ่งเนื้อ ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา