มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในสตรีไทย ปัจจัยเสี่ยงหลักคือการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papillomavirus, HPV) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 นอกจากนี้ยังพบมากในหญิงที่มีคู่นอนหลายคน, เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, สูบบุหรี่ หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งปากมดลูกแบ่งตามชนิดของเซลล์ต้นกำเนิดได้ดังนี้
- Squamous cell carcinoma — พบมากที่สุด คิดเป็นประมาณ 85% ของมะเร็งปากมดลูกทั้งหมด เกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวบริเวณ ectocervix และรอยต่อกับ endocervix อาการที่พบบ่อย ได้แก่ เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด, เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือมีตกขาวผิดปกติ
- Adenocarcinoma — พบประมาณ 10% เกิดจากเซลล์ต่อมภายในปากมดลูก (endocervix) ตรวจพบได้ยากกว่าในระยะเริ่มแรก แต่มีอาการคล้ายกับชนิด squamous
- ชนิดอื่น ๆ
- Adenosquamous carcinoma — มีทั้งลักษณะของเซลล์ต่อมและเซลล์เยื่อบุ
- Small cell / neuroendocrine tumors — พบไม่บ่อย แต่มีความดุร้ายและพยากรณ์โรคไม่ดี
- Clear cell adenocarcinoma — หายาก สัมพันธ์กับการได้รับยา DES ในอดีตเพื่อป้องกันการแท้งบุตร ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
อาการของมะเร็งปากมดลูก
ในระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อโรคลุกลาม อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด เช่น
- เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน
- เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- มีน้ำปนเลือดออกจากช่องคลอด
- ตกขาวปนเลือด
- เลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
เมื่อมะเร็งแพร่กระจาย อาจลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ, กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ใหญ่ หรือกระดูกก้นกบ ทำให้เกิดอาการ
- ขาบวม
- ปวดหลังรุนแรง ปวดก้นกบและต้นขา
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
วิธีตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยแบ่งเป็นการคัดกรองในผู้ไม่มีอาการ และการวินิจฉัยยืนยันในผู้ที่มีอาการหรือผลคัดกรองผิดปกติ
- การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- Pap smear (Pap test) — เก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์
- HPV testing — ตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง อาจใช้เดี่ยวหรือร่วมกับ Pap smear (co-testing) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- การวินิจฉัยยืนยัน
- Colposcopy — ใช้กล้องขยายตรวจปากมดลูกเพื่อหาความผิดปกติ และตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่สงสัย
- Biopsy — ตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและระบุชนิดเซลล์
- การตรวจเพิ่มเติม — เช่น MRI, CT, PET-CT หรือการตรวจเลือด เพื่อประเมินระยะและการแพร่กระจาย
ระยะของมะเร็งปากมดลูก
- ระยะที่ 0 — เซลล์มะเร็งยังจำกัดอยู่ที่ชั้นเยื่อบุผิว
- ระยะที่ I — มะเร็งอยู่เฉพาะในปากมดลูก อัตรารอดชีวิต 5 ปีสูงถึง 85%
- ระยะที่ II — มะเร็งลุกลามไปเนื้อเยื่อข้างปากมดลูก หรือผนังช่องคลอดส่วนบน
- ระยะที่ III — ลุกลามไปผนังเชิงกราน, ผนังช่องคลอดส่วนล่าง หรือกดท่อไตจนเกิดไตบวมน้ำ
- ระยะที่ IV — แพร่ไปอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ตรง หรือแพร่ไกลไปยังปอด ตับ หรือกระดูก
นอกจากนี้ยังมีการให้เกรดของมะเร็งตามความคล้ายคลึงของเซลล์กับเซลล์ปกติ ได้แก่ Well differentiated (โตช้า แพร่ช้า) และ Poorly differentiated/Undifferentiated (โตเร็ว แพร่ง่าย)
การรักษามะเร็งปากมดลูก
ระยะก่อนมะเร็งหรือระยะที่ 0
สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องตัดมดลูกออก วิธีรักษาได้แก่
- ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด (ตรวจภายใน, Pap smear, และ colposcopy ทุก 4-6 เดือน) เนื่องจากรอยโรคเล็กบางชนิดอาจหายเองภายใน 1-2 ปี
- ตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
- จี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
- จี้ด้วยเลเซอร์
ระยะที่ I
มีโอกาสหายขาดสูง ตัวเลือกการรักษาได้แก่
- การผ่าตัด — เช่น conization สำหรับระยะแรกที่ต้องการสงวนมดลูก หรือ radical hysterectomy ร่วมเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกราน
- รังสีรักษา — ใช้เดี่ยวหรือร่วมกับการผ่าตัดตามความเหมาะสม
ระยะที่ II-III
รักษาตามสภาพผู้ป่วยและระยะโรค มาตรฐานคือรังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัด (concurrent chemoradiation) ในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้
ระยะที่ IV
ใช้เคมีบำบัดเป็นหลัก อาจร่วมกับยามุ่งเป้าหรือภูมิคุ้มกันบำบัด พร้อมการดูแลแบบประคับประคอง
สรุป
มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ HPV จึงป้องกันได้ด้วย วัคซีน HPV และ การตรวจคัดกรอง อย่างสม่ำเสมอ การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกช่วยเพิ่มโอกาสรักษาหายได้สูง ในขณะที่ระยะลุกลามต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกผิดปกติ, ตกขาวผิดปกติ, หรือปวดเชิงกรานเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและดูแลอย่างเหมาะสม