มะเร็งเต้านม (Breast cancer)
เต้านมเป็นอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะในเพศหญิงที่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะมีการพัฒนาด้านขนาดและหน้าที่มากกว่าเพศชาย โรคของเต้านมจึงพบได้มากในเพศหญิง โดยเฉพาะเนื้องอก ซึ่งหลายกรณีผู้หญิงมักเสียโอกาสในการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเพราะความเขินอาย ไม่กล้าตรวจ จึงมีการรณรงค์ให้สตรีหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ
วิธีตรวจเต้านมด้วยตนเอง
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไปตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน ควรทำหลังหมดประจำเดือน 7-10 วัน
โดยการส่องกระจกดูขนาด สี รอยนูน และรอยบุ๋ม ของเต้านมทั้งสองข้าง และใช้แผ่นนิ้วมือ 4 นิ้ว (ยกเว้นนิ้วโป้ง) คลำหาเนื้อผิดปกติบริเวณเต้านมและรักแร้ การคลำอาจทำในขณะอาบน้ำหรือขณะนอนหงาย หากพบสิ่งผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที
มะเร็งเต้านมมักมาจากเซลล์ภายในเต้านมเอง ไม่ค่อยพบเซลล์จากที่อื่นกระจายเข้ามา แม้จะพบเพียง 10-20% ของเนื้องอกที่เต้านม แต่มะเร็งเต้านมก็เป็นมะเร็งที่พบบ่อยอันดับหนึ่งในผู้หญิงทั่วโลก และอันดับสองในหญิงไทย โดยมักเกิดในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี ส่วนในผู้ชายพบได้น้อย (ประมาณ 1%)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- อายุมากขึ้น
- ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
- พันธุกรรมผิดปกติ เช่น BRCA1, BRCA2
- มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อย หรือหมดช้า
- ไม่มีบุตร หรือมีบุตรช้า
- ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานาน
- ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และมีภาวะอ้วน
ชนิดของมะเร็งเต้านม
มะเร็งมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะทางพยาธิวิทยาและพฤติกรรมของโรคแตกต่างกัน ได้แก่:
1. Invasive Ductal Carcinoma (IDC)
เป็นมะเร็งของท่อน้ำนม พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 70-80% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด) มักพบในหญิงวัยกลางคนขึ้นไป ก้อนมักแข็ง เคลื่อนไหวน้อย อาจยึดติดกับผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ และสามารถกระจายไปต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น
3. Ductal Carcinoma in Situ (DCIS)
เป็นระยะเริ่มต้นของมะเร็งที่ยังไม่ลุกลามออกจากท่อน้ำนม มักตรวจพบจากแมมโมแกรมก่อนแสดงอาการ พยากรณ์โรคดีหากรักษาเร็ว
2. Invasive Lobular Carcinoma (ILC)
เป็นมะเร็งของต่อมน้ำนม พบประมาณ 10-15% มักพบในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ลักษณะก้อนไม่ชัดเจน อาจคลำได้เป็นความหนาแน่นของเนื้อเต้านมมากกว่าก้อนแข็ง
4. Paget Disease of Nipple
เป็นเนื้อร้ายของเซลล์รอบหัวนม พบประมาณ 1–4% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด มักเกิดร่วมกับ DCIS หรือ IDC อาการ: ไม่มีลักษณะเป็นก้อน แต่มีความผิดปกติที่หัวนม เช่น คัน แดง ลอก มีแผลเรื้อรัง หรือมีสารน้ำไหลจากหัวนม พยากรณ์โรค: หากพบแค่ผิวหนังโดยไม่มี invasive cancer พยากรณ์ค่อนข้างดี แต่หากมีมะเร็งลุกลามร่วมด้วย พยากรณ์จะลดลง
5. Cystosarcoma Phyllodes (ชนิดร้าย)
เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน พบได้น้อย เพียง 1% ของเนื้องอกเต้านมทั้งหมด และในจำนวนนี้ประมาณ 10–30% เป็นชนิดร้าย ลักษณะ: ก้อนเดี่ยว ผิวเรียบ ไม่เจ็บ โตเร็วมาก อาจดันผิวหนังจนยืด หรือเกิดแผลแตก พยากรณ์: ขึ้นกับระดับ malignancy อาจกลับเป็นซ้ำหรือกระจายไปปอด แต่โอกาสแพร่กระจายน้อยกว่ามะเร็งเต้านมทั่วไป
6. Angiosarcoma
เป็นมะเร็งของหลอดเลือด พบได้น้อยมาก (<0.05%) อาจเกิดขึ้นเอง (primary) หรือภายหลังฉายรังสี (secondary) อาการ: ก้อนโตเร็ว ผิวหนังคล้ำคล้ายฟกช้ำ กดเจ็บหรือมีเลือดออก พยากรณ์: ค่อนข้างแย่ เพราะลุกลามเร็ว แพร่ผ่านกระแสเลือด และกลับเป็นซ้ำได้บ่อย
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการ ไม่มีแม้กระทั่งก้อนเนื้อ แต่สามารถตรวจพบได้จากการคัดกรองด้วยเครื่องแมมโมแกรม เครื่องแมมโมแกรมสามารถตรวจมะเร็งของเต้านมได้ตั้งแต่ระยะที่ศูนย์ ซึ่งเป็นระยะที่การรักษาได้ผลดีที่สุด
มะเร็งเต้านมเมื่อเริ่มแทรกซึมเนื้อเยื่อข้างเคียงแล้วถึงจะเริ่มแสดงอาการต่าง ๆ มะเร็งของท่อน้ำนมมักมีก้อนให้คลำได้ แต่มะเร็งของต่อมน้ำนมมักคลำได้เป็นเนื้อเยื่อที่บวมหนา ไม่มีลักษณะเป็นก้อนชัดเจน บางครั้งอาจพบเป็นรอยบุ๋มที่ผิวหนัง หรือการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างของเต้านม มะเร็งชนิด Paget จะพบความผิดปกติที่หัวนม อาจมีเลือดหรือของเหลวไหลออกจากหัวนม, หัวนมเปลี่ยนสี หนาตัว คัน หรือถูกดังรั้งให้บุ๋มลงไป
เมื่อมะเร็งกระจายตัวจะไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันก่อน หากคลำได้ก้อนที่รักแร้อย่างเดียวโดยไม่พบความผิดปกติที่เต้านมมักเป็นต่อมน้ำเหลืองที่โตจากสาเหตุอื่น
อาการเจ็บปวดที่เต้านม เป็นอาการที่พบได้น้อยสำหรับเนื้อร้าย เมื่อมีอาการเจ็บจะนึกถึงเต้านมอักเสบก่อน ยกเว้นมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่สามารถตรวจคัดกรองได้ ทั้งการตรวจคัดกรองและการตรวจเมื่อมีอาการแล้ว จะได้รับการตรวจตามลำดับ ดังนี้
- ตรวจร่างกาย: แพทย์คลำเต้านมและต่อมน้ำเหลือง
- ตรวจทางรังสี: เช่น แมมโมแกรม, อัลตราซาวด์, MRI
- ตรวจชิ้นเนื้อ: หากสงสัยมะเร็ง โดยการเจาะเข็มดูดเนื้อเยื่อ (core needle biopsy) เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
วิธีรักษา
ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมพัฒนาไปมาก แต่โดยหลักยังขึ้นกับชนิด ขนาด ระยะ และสุขภาพผู้ป่วย ได้แก่:
- การผ่าตัด: ตัดเฉพาะก้อน (breast-conserving surgery) หรือทั้งเต้า (mastectomy)
หลังผ่าตัดจะทำการตรวจ receptor ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนการรักษาต่อ การตรวจ receptor ที่สำคัญ มี 3 ชนิดหลัก คือ
- Estrogen Receptor (ER)
- Progesterone Receptor (PR)
- Human Epidermal growth factor Receptor 2 (HER2)
- การฉายรังสี: มักใช้ร่วมหลังการผ่าตัด เพื่อลดโอกาสกลับเป็นซ้ำ
- การฝังแร่: โดยใช้ไอโอดีน 125 ซึ่งจะปล่อยรังสีออกมารอบ ๆ ก้อนมะเร็งเป็นเวลานาน มีประโยชน์เหมือนการฉายรังสี
- เคมีบำบัด: มีทั้งให้ทางหลอดเลือดดำเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจกระจาย และให้ทางหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงเนื้องอกโดยตรง
- อุณหภูมิบำบัด: ใช้ความเย็นบวกความร้อนมารักษาเนื้องอก โดยการปล่อยก๊าซอาร์กอนที่มีอุณหภูมิติดลบให้เซลล์มะเร็งแข็งตัว แล้วปล่อยก๊าซฮีเลียมที่มีความร้อนออกมาให้เซลล์มะเร็งสลายไปในที่สุด
- ยาต้านฮอร์โมน: เช่น Tamoxifen หรือ Aromatase Inhibitors สำหรับผู้ที่มี Hormone Receptor Positive (ER+/PR+) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของมะเร็งเต้านม กลุ่มนี้พยากรณ์โรคค่อนข้างดี ในรายที่ใช้ยาไม่ได้แพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัดรังไข่ออกเพื่อหยุดการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ยาต้าน HER2: เช่น Trastuzumab สำหรับมะเร็งชนิด HER2-positive ซึ่งพบประมาณ 15–20% ปกติมะเร็งชนิดนี้มักโตเร็วและลุกลามไว แต่ยาช่วยควบคุมโรคได้ดีขึ้นมาก
- ภูมิคุ้มกันบำบัด: โดยฉีดเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็งเข้าไปฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
การพยากรณ์โรค
- ระยะ 0–1: รอดชีวิต 5 ปี > 90%
- ระยะ 2: รอดชีวิต 5 ปี 70–90%
- ระยะ 3: รอดชีวิต 5 ปี 50–70%
- ระยะ 4: รอดชีวิต 5 ปี 20–30%
Triple Negative Breast Cancer (TNBC): คือ ไม่พบทั้ง ER, PR, และ HER2 พบเพียง 10–15% มักเกิดในผู้หญิงอายุน้อย ลุกลามเร็ว และไม่มี targeted therapy เฉพาะ จึงรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นหลัก พยากรณ์โรคค่อนข้างแย่
สรุป
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยและรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่ต้น ผู้หญิงควรหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเอง และรับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็วช่วยเพิ่มโอกาสหายขาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดี