มะเร็งมดลูก (Uterine cancer)

มะเร็งมดลูกมักพบในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป (มีเพียง 5% ที่พบในอายุต่ำกว่า 40 ปี) โดยพบได้สูงขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

  • อายุที่มากขึ้น (มักพบในผู้มีอายุมากกว่า 50 ปี)
  • การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงโดยไม่มีการสลับด้วยโปรเจสเทอโรน (เช่น ไม่มีการตั้งครรภ์หลายครั้ง ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเดี่ยวเป็นเวลานาน)
  • การรับประทานสมุนไพรที่มีเอสโตรเจนสูง เช่น กวาวเครือ
  • มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญมากผิดปกติ ซึ่งมักทำให้มีประจำเดือนมามาก บ่อย หรือออกกะปริดกะปรอย
  • เคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่
  • เคยได้รับรังสีรักษาบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • ภาวะอ้วน (เนื่องจากเซลล์ไขมันสามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้)
  • มีโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
  • พันธุกรรม เช่น ญาติสายตรงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่, Lynch syndrome

ชนิดของมะเร็งมดลูก

มี 2 ประเภทหลักๆ คือ

1. Endometrial carcinoma (มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก)

พบได้ประมาณ 95% ของมะเร็งมดลูกทั้งหมด มี 2 ชนิดย่อย คือ

  • ชนิดสัมพันธ์กับฮอร์โมน (Type I) เป็นเซลล์มะเร็งชนิด endometrioid โตช้า ไม่ค่อยลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อ การโตสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงมักพบในหญิงวัยใกล้หมดหรือเพิ่งหมดประจำเดือน พยากรณ์โรคค่อนข้างดี พบมากถึง 75-80%
  • ชนิดไม่สัมพันธ์กับฮอร์โมน (Type II) เซลล์มะเร็งมักเป็นชนิด clear cells และ serous cells มีการแบ่งตัวสูง (Grade 3) และมักลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อ มีความรุนแรงและพยากรณ์โรคแย่กว่าชนิดแรก ก้อนโตไม่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน มักพบในผู้สูงอายุหลังหมดประจำเดือนมานาน

อาการ: อาการที่พบบ่อยสุดคือเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ (postmenopausal bleeding, abnormal uterine bleeding) บางรายอาจมีอาการปวดหน่วงในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย

2. Uterine sarcoma (ซาร์โคมาในมดลูก)

เป็นมะเร็งของกล้ามเนื้อมดลูก พบน้อยมาก แต่มีความรุนแรงและโอกาสกลับเป็นซ้ำสูง แบ่งเป็น 3 ชนิดย่อย ได้แก่

  • Leiomyosarcoma เกิดจากกล้ามเนื้อมดลูก โตเร็วและมักแพร่กระจายทางกระแสเลือดไปยังปอดหรืออวัยวะอื่น
  • Endometrial stromal sarcoma เกิดจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
  • Undifferentiated uterine sarcoma ไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดได้ชัดเจน

ในบางกรณี Uterine sarcoma อาจแยกจากเนื้องอกธรรมดา (fibroid) ได้ยาก



อาการและการวินิจฉัย

ข้อดีของมะเร็งมดลูกคือมักมีอาการเตือนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยราว 75% จะมีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน และประมาณ 30% มีตกขาวมีกลิ่นเหม็น หากก้อนเนื้อโตขึ้น อาจคลำพบมดลูกขยายโตเหนือหัวหน่าว และหากกดเบียดอวัยวะใกล้เคียงอาจทำให้ปัสสาวะบ่อย กลั้นไม่อยู่ ท้องผูก หรือปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง

การวินิจฉัยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกทำได้โดยการตรวจภายในและขูดมดลูกส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ในบางกรณีแพทย์อาจส่องกล้อง (hysteroscopy) เพื่อตรวจภายในโพรงมดลูกและเก็บชิ้นเนื้อ หากพบเป็นมะเร็ง จะตรวจเพิ่มเติมด้วย CXR, CT หรือ MRI เพื่อประเมินการลุกลามและการแพร่กระจาย

วิธีรักษาตามระยะของมะเร็ง

การรักษาหลักคือการผ่าตัด โดยตัดมดลูก ปีกมดลูกและรังไข่ทั้งสองข้าง (total hysterectomy with bilateral salpingo-oophorectomy — TH/BSO) พร้อมเลาะต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานออกให้หมด จากนั้นจึงประเมินผลชิ้นเนื้อหลังการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อดูการลุกลามจริงทางพยาธิวิทยา การรักษาเพิ่มเติม (adjuvant) ขึ้นกับชนิด ระยะ และความเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำ

  • ระยะ I (จำกัดในมดลูก): กลุ่มเสี่ยงต่ำอาจไม่ต้องรักษาเพิ่ม แต่กลุ่มเสี่ยงปานกลางหรือสูงควรได้รับรังสีรักษา
  • ระยะ II (ลุกลามสู่ปากมดลูก): รักษาด้วยการผ่าตัด ร่วมกับรังสีรักษาและ/หรือเคมีบำบัดตามปัจจัยเสี่ยง (รังสีรักษาอาจเป็นการฉายแสงหรือฝังแร่)
  • ระยะ III–IV (ลุกลามนอกมดลูกหรือแพร่กระจาย): ผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดและรังสีรักษา หากผ่าตัดได้ไม่ครบถ้วนจะใช้เคมีบำบัดเป็นหลัก โดยมีหลายวิธี เช่น รับประทาน ฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือหลอดเลือดแดง ขึ้นกับการลุกลามและสภาพผู้ป่วย

ในผู้ป่วยที่ยังต้องการมีบุตรและเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกชนิดตอบสนองต่อฮอร์โมน (มักอยู่ในระยะแรกและเป็น endometrioid grade ต่ำ) อาจพิจารณาใช้โปรเจสตินทั้งแบบระบบหรือแบบใช้เฉพาะที่ในโพรงมดลูก ภายใต้การติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับ uterine sarcoma รักษาหลักคือการผ่าตัดกว้าง (total hysterectomy) โดยไม่ควรแยกก้อน (morcellation) หากสงสัยซาร์โคมา เพื่อป้องกันการกระจายเซลล์ มักพิจารณาให้เคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษาเพิ่มเติมในผู้มีความเสี่ยงสูงหรือโรคลุกลาม

หลังการรักษาผู้ป่วยต้องติดตามพบแพทย์อย่างต่อเนื่องหลายปี เนื่องจากโรคมีโอกาสกลับเป็นซ้ำภายใน 3 ปีแรก

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่มีประสิทธิภาพก่อนเกิดอาการ ดังนั้นการสังเกตอาการและรีบพบแพทย์เมื่อมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังหมดประจำเดือนจึงเป็นสิ่งสำคัญ อัตราการรอดชีวิต 5 ปีในผู้ป่วยระยะ I–II สูงกว่าร้อยละ 70

สรุป

มะเร็งมดลูกมักแสดงอาการเลือดออกผิดปกติ การวินิจฉัยต้องตรวจชิ้นเนื้อ การรักษาขึ้นกับชนิดและระยะของโรค โดยการผ่าตัดเป็นหลัก และอาจเสริมด้วยรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัดตามความเสี่ยง ฮอร์โมนบำบัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยระยะแรกที่ยังต้องการมีบุตร หลังการรักษาจำเป็นต้องติดตามต่อเนื่องเพื่อลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ