เนื้องอกร้ายที่ตับ (Malignant liver tumors)

เนื้องอกร้ายที่ตับปัจจุบันเป็นปัญหาสำคัญของทั่วโลก สถิติพบเพิ่มมากขึ้นทุกปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนและญี่ปุ่น ในประเทศไทยเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย (เป็นอันดับ 5 ในผู้หญิง) และเป็นสาเหตุของการ เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากการเจ็บป่วยมากเป็นอันดับ 1 เนื้องอกเหล่านี้ได้แก่ (ตามลำดับที่พบบ่อย)

Hepatocellular carcinoma (HCC)

เป็นมะเร็งของเซลล์ตับโดยเฉพาะ มักพบในผู้ที่มีประวัติติดสุรา เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ หรือเป็นโรคตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 4 เท่า มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เนื่องจากมะเร็ง ชนิดนี้แบ่งตัวเร็ว ไม่ค่อยตอบสนองต่อวิธีการรักษาแบบต่าง ๆ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงควรศึกษาแนวทางการคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดีตั้งแต่ที่ยังไม่มีอาการให้ดี (ทางที่ดีไม่ควรมีพฤติกรรมที่จะนำพาปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เข้ามาเลย)

โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งตับไม่มีอาการในระยะแรก เมื่อเป็นมากขึ้นอาจพบอาการปวดชายโครงขวา ท้องโต ตัวเหลือง ตาเหลือง น้ำหนักลด มีไข้ต่ำเป็น ๆ หาย ๆ ส่วนใหญ่เมื่อเริ่มมีอาการ เซลล์มะเร็งมักกระจายไปมากกว่าระยะที่สองแล้ว

การแบ่งระยะของโรคมีหลายระบบ แต่ที่นิยมคือ BCLC (Barcelona Clinic Liver Cancer) ซึ่งพิจารณาจากขนาดและจำนวนก้อน การลุกลาม และการทำงานของตับ

การรักษา:

  • ระยะเริ่มต้น: ผ่าตัดหรือจี้ด้วยคลื่นความถี่สูง (RFA)
  • ระยะปานกลาง: การฉีดยาเคมีเฉพาะจุด (TACE)
  • ระยะลุกลาม: การให้ยามุ่งเป้า (targeted therapy) หรือยาภูมิคุ้มกัน (immunotherapy)

พยากรณ์โรค: หากตรวจพบในระยะต้นและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยมีโอกาสอยู่รอดหลายปี แต่หากตรวจพบช้าจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำลงมาก

Cholangiocarcinoma (CCA)

เป็นมะเร็งของท่อน้ำดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมีอัตราการเกิดสูงที่สุดในโลก พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า สัมพันธ์กับการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini), โรคท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง เช่น primary sclerosing cholangitis, และมีนิ่วในท่อน้ำดีเรื้อรัง

มะเร็งท่อน้ำดีแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ และมะเร็งท่อน้ำดีภายนอก มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับจะมีอาการคล้ายกับมะเร็งตับมาก คือจุกแน่นลิ้นปี่ก่อน(อาจนานหลายเดือน) แล้วจึงค่อยมีตัวเหลืองตาเหลือง ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีภายนอกตับจะทำให้ท่อน้ำดีอุดตันและเกิดอาการตาเหลืองได้เร็วกว่า ส่วนใหญ่มะเร็งของท่อน้ำดีจะเจริญเติบโตช้า เมื่อเริ่มแรกมักไม่มีอาการ พอมีอาการโรคก็ลุกลามเข้าระยะท้าย ๆ แล้ว และการรักษาก็ยิ่งยากกว่ามะเร็งตับ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (เพศชาย, อายุ > 40 ปี, เคยมีพยาธิใบไม้ในตับ หรือชอบกินปลาน้ำจืดสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา, มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งตับมาก่อน) ควรได้รับการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ทุก ½-1 ปี

การแบ่งระยะของโรคแบ่งตามระบบ TNM โดยดูจากขนาดก้อน การลุกลามไปยังท่อน้ำดีหรือหลอดเลือด และการแพร่กระจาย

การรักษา:

  • ระยะต้น: ผ่าตัดเอาก้อนออก
  • ระยะลุกลาม: เคมีบำบัดร่วมกับ targeted therapy ในบางราย

พยากรณ์โรค: โดยทั่วไปไม่ดีนัก เพราะมักพบในระยะที่ลุกลามแล้ว การตรวจพบเร็วและผ่าตัดได้จะช่วยให้พยากรณ์โรคดีขึ้น



Metastatic liver cancer

เป็นมะเร็งของอวัยวะอื่นที่กระจายมาที่ตับ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่รับเลือดดำจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารก่อนที่จะส่งเข้าหัวใจห้องขวาเพื่อฉีดไปฟอกที่ปอด ตับและปอดจึงเป็นแหล่งพักเลือดที่สำคัญ และเป็นสองอวัยวะที่รับการกระจายของเซลล์มะเร็งจากที่ต่าง ๆ ได้บ่อย ลักษณะที่พบมักเป็นหลายก้อนกระจัดกระจายกันในเนื้อตับ และมักมีน้ำในช่องท้องแล้ว ลักษณะนี้ไม่ว่ามะเร็งต้นทางเป็นอะไรโรคก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว

การรักษา: ขึ้นกับแหล่งต้นกำเนิดของมะเร็งและการลุกลาม เช่น เคมีบำบัด การผ่าตัด การฉายรังสี

พยากรณ์โรค: แปรผันตามชนิดของมะเร็งต้นทาง

เนื้องอกร้ายที่ตับชนิดอื่น ๆ

  • Hepatoblastoma เป็นมะเร็งของเซลล์ตับอีกชนิดหนึ่งที่พบได้น้อย มักพบในเด็กอายุ < 3 ปี เซลล์มะเร็งมักจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เด็กเจริญวัยเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าอายุจริง ผลการรักษาด้วยเคมีบำบัด และ/หรือรังสีรักษา ก่อนการผ่าตัดให้ผลค่อนข้างดี รายที่ผ่าตัดไม่ได้ควรทำการปลูกถ่ายตับใหม่
  • Angiosarcoma เป็นมะเร็งของหลอดเลือดในตับ พบได้น้อยมาก แต่ค่อนข้างดุร้าย การรักษาขึ้นกับขนาดและระยะของโรค หากผ่าตัดได้มักฉายรังสีให้ก้อนยุบก่อนผ่าตัด ตามด้วยเคมีบำบัด หากผ่าไม่ได้ก็เหลือเพียงให้เคมีบำบัด พยากรณ์โรคไม่ดี

สรุป

เนื้องอกร้ายที่ตับมีหลายชนิด โดยเฉพาะ HCC และ cholangiocarcinoma ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และการติดพยาธิใบไม้ตับ อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงจึงทำให้การวินิจฉัยล่าช้า การตรวจสุขภาพประจำปีโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากตรวจพบได้ในระยะต้น โอกาสในการรักษาให้หายยังมีอยู่ แต่หากเป็นระยะลุกลาม การรักษาจะมุ่งเน้นที่การควบคุมโรคและคุณภาพชีวิต