การคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี (Liver & biliary cancer screening)

ตับและท่อน้ำดีเป็นอวัยวะที่ทำงานร่วมกันในการส่งน้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมันในทางเดินอาหาร เนื่องจากอยู่ใกล้กัน เมื่ออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งมีปัญหา อาการจึงคล้ายกัน การตรวจคัดกรองอวัยวะหนึ่งก็จะเห็นภาพของอีกอวัยวะหนึ่งเสมอ

มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในเพศชายที่พบมากกว่าเพศหญิงถึง 2–4 เท่า และมักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบในคนที่อายุน้อยกว่านี้ได้ในบางกรณี

ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อโรคเข้าสู่ระยะลุกลาม ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น การรักษาหลักได้แก่การผ่าตัด เคมีบำบัด การฉายรังสี และการให้ยามุ่งเป้า หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม การผ่าตัดจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีมีทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกันในแต่ละโรค ดังนี้

ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งตับมะเร็งท่อน้ำดี
ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง✔️✔️
มีโรคตับแข็ง✔️✔️
มีภาวะไขมันพอกตับ✔️
กินอาหารที่มีเชื้อรา alphatoxin เช่น แป้งสาลี ถั่วเหลือง ถั่วลิสง บ่อย✔️
เป็นเบาหวานและอ้วน✔️
มีประวัติมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีในครอบครัว✔️✔️
ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini)✔️
มีการอักเสบเรื้อรังของท่อน้ำดี เช่น primary sclerosing cholangitis✔️
เคยเป็นนิ่วในท่อน้ำดีเรื้อรัง✔️
สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์✔️✔️
แสดงถึงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

อาการในระยะเริ่มแรก

อาการของมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีมักคล้ายคลึงกัน โดยในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้วินิจฉัยล่าช้า อย่างไรก็ตาม มะเร็งท่อน้ำดีมักทำให้ตัวเหลืองตาเหลืองได้เร็วกว่ามะเร็งตับ อาการที่อาจพบ ได้แก่:

  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • แน่นท้องหรือปวดบริเวณชายโครงขวา
  • คลำได้ก้อนบริเวณตับหรือช่องท้องด้านขวาบน
  • มีไข้เป็น ๆ หาย ๆ
  • คันทั่วร่างกาย
  • มีจ้ำเลือดง่าย อาจมีเลือดกำเดาไหล ถ่ายอุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (พบบ่อยในมะเร็งท่อน้ำดี)
  • อุจจาระสีซีดและปัสสาวะสีเข้ม (พบเมื่อมีการอุดตันของท่อน้ำดี)


วิธีคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี

วิธีการคัดกรองที่ใช้ในทางปฏิบัติ ได้แก่:

  1. อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Upper abdominal ultrasound): เพื่อตรวจหาความผิดปกติของตับและท่อน้ำดี เช่น ก้อน หรือท่อน้ำดีที่ขยาย
  2. ตรวจเลือดหาสาร AFP (Alpha-Fetoprotein): ใช้คู่กับอัลตราซาวด์ โดยค่า AFP ที่สูงอาจพบในหลายภาวะ เช่น มะเร็ง ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือนิ่วในท่อน้ำดี
  3. CT scan หรือ MRI ช่องท้อง: ใช้ในกรณี
    • พบความผิดปกติจากอัลตราซาวด์และต้องการวินิจฉัยเพิ่มเติม
    • ไม่พบก้อนแต่ค่า AFP > 200 ng/mL หรือมีแนวโน้มสูงขึ้นชัดเจนจากครั้งก่อน
  4. ตรวจอุจจาระหาพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini): วิธีง่าย ประหยัด และช่วยกำจัดปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งท่อน้ำดี แนะนำให้ตรวจในผู้ที่อาศัยอยู่ภาคอีสานและภาคเหนือ รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเคยพบพยาธิแม้จะรักษาหายแล้ว
  5. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ (Liver function test, LFT): ควรทำเป็นประจำทุกปี หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ

แนวทางการเริ่มคัดกรอง:

  1. ผู้ติดเชื้อไวรัสตับ B หรือ C
    • อายุน้อยกว่า 40 ปี: ตรวจ AFP และ LFT ทุกปี
    • อายุ 40 ปีขึ้นไป: ตรวจอัลตราซาวด์ทุกปี และ AFP ทุก 6 เดือน
  2. ผู้ที่มีประวัติมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีในครอบครัว
    • อายุน้อยกว่า 40 ปี: ตรวจอัลตราซาวด์และ AFP ทุก 1-2 ปี
    • อายุ 40 ปีขึ้นไป: ตรวจอัลตราซาวด์และ AFP ทุกปี หรือทุก 6 เดือน ขึ้นกับความเสี่ยง
  3. ผู้ป่วยตับแข็ง ควรตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6 เดือน และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  4. ผู้มีไขมันพอกตับ (โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่อ้วน): ควรตรวจ LFT ทุกปี และชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรทำอัลตราซาวด์ทุก 1–2 ปี
  5. ผู้เคยมีพยาธิใบไม้ตับ รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: ควรตรวจ LFT ทุกปี
  6. ผู้ที่เคยกินปลาน้ำจืดดิบ: ควรสุ่มตรวจอุจจาระหาพยาธิใบไม้ตับทุก 6 เดือน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง

แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ แต่เนื่องจากโรคนี้อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว ประชาชนทั่วไปควร:

  • หลีกเลี่ยงการกินปลาดิบที่อาจมีพยาธิใบไม้ตับ
  • รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันพอกตับ

แนะนำ: ควรเริ่มตรวจสุขภาพทั่วไปและอัลตราซาวด์ช่องท้องตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นหากมีอาการผิดปกติ

สรุป

มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีเป็นโรคที่มักตรวจพบช้า แต่สามารถป้องกันและคัดกรองได้ หากเรารู้จักปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ พยาธิใบไม้ตับ และตับแข็ง การตรวจอัลตราซาวด์และเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งเป็นประจำ จะช่วยให้พบโรคในระยะเริ่มต้น ซึ่งทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจคัดกรองที่เหมาะสม โดยไม่ต้องรอให้อาการปรากฏ

บรรณานุกรม

  1. "แนวทางการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยและรักษาโรค มะเร็งตับและท่อน้ำดี." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (20 กรกฏาคม 2568).
  2. Catherine T Frenette, et al. 2019. "A Practical Guideline for Hepatocellular Carcinoma Screening in Patients at Risk." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clin Proc Innov Qual Outcomes. 2019 Jul 11;3(3):302–310. (20 กรกฏาคม 2568).
  3. Sudha Kodali, et al. 2024. "Update on the Screening, Diagnosis, and Management of Cholangiocarcinoma." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Gastroenterol Hepatol (N Y). 2024 Mar;20(3):151–158. (20 กรกฏาคม 2568).