การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer screening)
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บริเวณปากมดลูก โดยสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) แบบเรื้อรัง พบได้บ่อยในผู้หญิงช่วงอายุ 30-60 ปี แต่อาจพบได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป และสามารถเกิดได้จนถึงอายุ 70 ปีขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง
แนวทางการรักษามีตั้งแต่การผ่าตัด การให้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัด ขึ้นกับระยะของโรค โดยหากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสรักษาหายมีสูงมากถึง 90%
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก
- ติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18
- เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย หรือมีคู่นอนหลายคน
- เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือปีกมดลูกอักเสบ
- เคยเป็นมะเร็งหรือมีเซลล์เยื่อบุผิดปกติที่ช่องคลอด หรือที่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
- สูบบุหรี่
- มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
- คลอดบุตรหลายคน หรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุน้อย
- ไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองเลย
คำแนะนำ: ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 21 ปี หรือเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ และควรตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์
อาการของมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น
มะเร็งปากมดลูกในระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อเริ่มแสดงอาการ อาจพบอาการดังต่อไปนี้:
- เลือดออกทางช่องคลอดกระปริดกระปรอย หรือเลือดออกมากโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เจ็บหรือมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีของเหลวผิดปกติไหลออกจากช่องคลอด เช่น น้ำ เมือก หนอง หรือหนองปนเลือด ซึ่งมีกลิ่นแรงกว่าตกขาวปกติ
- ปวดท้องน้อย อาจร้าวไปยังก้นกบหรือต้นขา
วิธีคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
ปัจจุบันมีวิธีการคัดกรองหลัก ๆ ดังนี้:
- การตรวจด้วยน้ำส้มสายชู (VIA): ใช้น้ำส้มสายชูพ่นหรือป้ายบริเวณปากมดลูก หากเซลล์มีความผิดปกติจะเปลี่ยนเป็นสีขาว วิธีนี้เหมาะสำหรับหญิงอายุ 25-55 ปี ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจทุก 5 ปี (หลังอายุ 55 ปี แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้การตรวจแปปสเมียร์แทน)
- การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear): ใช้ไม้พายหรือแปรงเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เหมาะสำหรับหญิงอายุ 25-65 ปี ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจทุก 3 ปี
- การตรวจหาเชื้อ HPV: ตรวจหา DNA ของไวรัส HPV ในเซลล์จากปากมดลูก เหมาะสำหรับหญิงอายุ 30-65 ปี ควรตรวจทุก 5 ปี
- การตรวจร่วม (Co-testing): ตรวจทั้ง Pap smear และ HPV พร้อมกัน เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงที่สุด
- การตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์: ควรทำทุกครั้งเมื่อมีอาการผิดปกติที่กล่าวมา
- การส่องกล้องตรวจความผิดปกติของปากมดลูก (Colposcopy): ใช้ในกรณีที่ผลตรวจแปปสเมียร์ผิดปกติ หากส่องพบความผิดปกติ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจเพิ่มเติม
* ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน HPV แล้ว ยังคงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองตามปกติ
** ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองทุก 6 เดือนในปีแรกหลังได้รับการวินิจฉัย และหลังจากนั้นตรวจปีละครั้งตลอดไป
*** หญิงที่ได้รับการตัดมดลูกพร้อมปากมดลูกโดยไม่ได้มีประวัติมะเร็งปากมดลูก ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองอีก ส่วนหญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ต่ำมาก อาจพิจารณาตรวจตามความสมัครใจ
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
แม้จะไม่มีปัจจัยเสี่ยงโดยตรง ก็ไม่ควรละเลยการตรวจคัดกรอง โดยแนวทางสำหรับหญิงทั่วไปคือ:
- เริ่มตรวจ Pap smear ตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ และตรวจซ้ำทุก 3 ปี
- หรือเลือกตรวจแบบ HPV DNA ทุก 5 ปี (เหมาะสำหรับหญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป)
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- แนะนำให้รับวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 9–26 ปี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สรุป
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก การตรวจคัดกรองเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 21–65 ปี และตรวจซ้ำอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีน HPV ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอให้มีอาการแล้วจึงไปพบแพทย์ การเริ่มต้นตรวจคัดกรองตั้งแต่วันนี้คือการดูแลสุขภาพของคุณในระยะยาว
บรรณานุกรม
- "แนวทางการป้องกัน ตรวจคัดกรอง และรักษามะเร็งปากมดลูก." 2568. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (19 กรกฏาคม 2568).
- "แนวทางการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV DNA test
." 2566. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (19 กรกฏาคม 2568).
- อ.พญ.ชลัยธร นันทสุภา
ศ.นพ.จตุพล ศรีสมบูรณ์. "การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสำหรับสตรีไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา ภาควิชาสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (19 กรกฏาคม 2568).