ฟลูออไรด์ (Fluoride, F-)

ฟลูออรีน (F) เป็นธาตุในสถานะก๊าซที่มีจุดหลอมเหลว −219.62 °C และจุดเดือด −188 °C มีลักษณะเป็นก๊าซสีเหลืองเขียว กลิ่นเหม็น และระคายเคืองต่อดวงตาและทางเดินหายใจ ในธรรมชาติพบฟลูออรีนในรูปสารประกอบร่วมกับธาตุอื่น เช่น fluorspar, fluorapatite และ cryolite ซึ่งพบได้น้อยในดิน ฟลูออรีนไม่ใช่ธาตุจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต จึงพบในอาหารในปริมาณน้อยมาก

ฟลูออไรด์ (F-) คืออิออนลบของฟลูออรีน เกิดจากการรวมตัวกับธาตุที่มีประจุบวก เช่น โซเดียมหรือไฮโดรเจน เมื่อละลายน้ำจะกลายเป็นเกลือฟลูออไรด์ พบได้ทั่วไปในดินและน้ำ และพบในพืชหรือสัตว์บ้างแต่ไม่มาก

ทางการแพทย์พบว่าฟลูออไรด์มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของเหงือกและฟัน การขาดฟลูออไรด์ทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย จึงมีการเติมฟลูออไรด์ในน้ำประปา ยาสีฟัน และน้ำดื่มสาธารณะตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ส่งผลให้ลดอุบัติการณ์ฟันผุลงอย่างมาก แต่ก็พบภาวะ dental fluorosis ในเด็ก ซึ่งเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินในช่วงฟันแท้กำลังขึ้น

หน่วยวัดปริมาณฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์ในอาหารมักวัดเป็นมิลลิกรัม (mg) หรือไมโครกรัม (mcg)
สำหรับน้ำและเลือดนิยมวัดเป็น ppm โดย 1 ppm = 1 mg ฟลูออไรด์ต่อน้ำ 1 ลิตร

บทบาทของฟลูออไรด์ในฟัน

โครงสร้างฟันประกอบด้วย hydroxyapatite ถึง 96% ซึ่งมีโครงสร้างค่อนข้างโปร่ง เนื่องจากพันธะระหว่างแคลเซียมกับออกซิเจนและไฮโดรเจนมีขนาดเล็ก แต่เมื่อมีฟลูออไรด์เข้าไปแทนที่ จะเกิดเป็น fluorapatite ที่มีโครงสร้างแข็งแรงและต้านทานการผุได้ดีกว่า

ผิวฟันมักมีไบโอฟิล์มเคลือบอยู่ ซึ่งประกอบด้วยน้ำลาย เศษอาหาร และแบคทีเรีย หากไม่แปรงฟันหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต แบคทีเรียจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรด เมื่อ pH ต่ำกว่า 5.5 hydroxyapatite จะละลาย ปล่อยแคลเซียม ฟอสเฟต และไฮโดรเจนอิออนออกมา ทำให้ฟันผุง่าย แต่หากมีฟลูออไรด์ในน้ำลายหรือเลือด จะช่วยเสริมสร้าง fluorapatite ที่แข็งแรงแทน ทำให้ป้องกันฟันผุได้

แหล่งของฟลูออไรด์

แหล่งอาหารที่มีฟลูออไรด์สูงได้แก่ น้ำดื่มที่เติมฟลูออไรด์ ใบชา น้ำผลไม้ องุ่น อาหารทะเล กรมอนามัยแนะนำให้คนไทยได้รับฟลูออไรด์วันละ 2 mg

ในน้ำดื่ม ค่าที่แนะนำคือ 1 ppm (1 mg ต่อน้ำ 1 ลิตร) จากการสำรวจในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่าน้ำประปามีฟลูออไรด์เฉลี่ย 0.075 ± 0.030 ppm และน้ำดื่มบรรจุขวดมีเฉลี่ย 0.086 ± 0.114 ppm [15] แม้จะดูน้อย แต่หากเราใช้น้ำเหล่านี้ดื่มและปรุงอาหารในปริมาณมากกว่า 1 ลิตร ก็จะได้ฟลูออไรด์เพิ่มขึ้น

ยาสีฟันก็เป็นอีกแหล่งสำคัญ โดยควรมีฟลูออไรด์อยู่ที่ 1000–1500 ppm

ฟลูออไรด์เสริมอาหารมีในรูปโซเดียมฟลูออไรด์แบบเม็ดหรือน้ำ แต่ไม่ควรใช้เอง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

ฟลูออไรด์ที่รับประทานจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดี แต่ครึ่งหนึ่งจะถูกกรองออกทางไต ส่วนที่เหลือจะสะสมในกระดูกและฟัน ระดับฟลูออไรด์ในเลือดที่ปกติอยู่ที่ 0.006–0.054 ppm ซึ่งต่ำเกินกว่าจะใช้วินิจฉัยภาวะขาดได้ แต่เพียงพอสำหรับตรวจพิษฟลูออไรด์

ภาวะขาดฟลูออไรด์

เมื่อขาดฟลูออไรด์ ฟันจะผุง่าย ฟันไม่แข็งแรง กร่อนง่าย และอาจทำให้กระดูกบางลงหรือเปราะง่ายด้วย

การวินิจฉัยอาศัยการตรวจฟัน ร่วมกับการพิจารณาสาเหตุอื่น หากจำเป็น ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ทดลองรับฟลูออไรด์เสริมและติดตามอาการ

พิษของฟลูออไรด์ (Fluorosis)

พิษจากฟลูออไรด์มี 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. พิษเฉียบพลัน

    พบมากในเด็กเล็กที่เผลอกลืนยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หรือฟลูออไรด์เสริมอาหาร ขนาดเป็นพิษคือ > 5 mg/kg และขนาดที่อาจเสียชีวิตคือ 16 mg/kg ในเด็ก และ 32 mg/kg ในผู้ใหญ่ อาการ:

    • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสีย
    • มือเท้าชา เป็นตะคริวจากภาวะแคลเซียมต่ำ (hypocalcemia)
    • ปัสสาวะมากจากภาวะคล้ายโรคเบาจืด สูญเสียน้ำจนเกิดภาวะขาดน้ำและไตวายเฉียบพลัน
    • เอนไซม์ถูกยับยั้ง เซลล์ทำงานผิดปกติ เกิดเลือดเป็นกรดแบบผสม (mixed acidosis)
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชัก และอาจเสียชีวิต

  2. พิษเรื้อรัง

    เกิดจากการรับฟลูออไรด์ > 0.1 mg/kg/day เป็นเวลานาน ทำให้ฟันมีจุดขาว เหลือง น้ำตาล และเป็นหลุม ฟันเปราะและเสียรูป

    กระดูกมีลักษณะขาวขึ้นในภาพเอกซเรย์ (osteosclerosis) แต่กระดูกกลับอ่อนและโก่งงอ (osteomalacia) อาจทำให้ขาโก่ง หลังโกง ข้อฝืด หรือปวดหลัง

    อาการอื่นอาจรวมถึง ไตเสื่อม เซลล์ประสาทเสื่อม โลหิตจาง ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ กระดูกพรุน เบาหวาน และความพิการของทารกในครรภ์ เนื่องจากฟลูออไรด์ผ่านรกได้

การวินิจฉัยอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย เอกซเรย์ และการวัดระดับฟลูออไรด์ในเลือด (> 0.076 ppm) และในปัสสาวะ (> 0.4 ppm)

การรักษาพิษเฉียบพลัน ให้รีบล้างท้องหรือดื่มนมทันที หรือใช้ยาลดกรดที่มีอลูมิเนียมหรือแมกนีเซียมเพื่อจับฟลูออไรด์ ลดการดูดซึม พร้อมให้แคลเซียมกลูโคเนตในกรณีแคลเซียมต่ำ ให้สารน้ำ และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

พิษเรื้อรังยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ ทำได้เพียงหยุดรับฟลูออไรด์เพิ่มเติม

สรุป

ฟลูออไรด์เป็นอิออนของฟลูออรีนที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันฟันผุ โดยทำให้โครงสร้างของฟันแข็งแรงขึ้น พบได้ในน้ำดื่ม อาหาร และยาสีฟัน อย่างไรก็ตาม การได้รับในปริมาณที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดพิษ ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง จึงควรได้รับในระดับที่เหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือทันตแพทย์

บรรณานุกรม

  1. "Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (1 เมษายน 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (1 เมษายน 2563).
  5. "12.4 Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (1 เมษายน 2563).
  6. "- Elements - 36: FLUORINE." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา apjcn.nhri.org.tw. (1 เมษายน 2563).
  7. "Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (1 เมษายน 2563).
  8. "Fluorine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (1 เมษายน 2563).
  9. "Fluorine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Britannica. (1 เมษายน 2563).
  10. Larry E. Johnson. 2018. "Fluorine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (1 เมษายน 2563).
  11. Larry E. Johnson. 2018. "Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (1 เมษายน 2563).
  12. White Donald J, et al. "The Role of Fluoride in Caries Reversal." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา DentalCare.com. (1 เมษายน 2563).
  13. Wefel James S & Faller Robert V. "A History and Update of Fluoride Dentifrices." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา DentalCare.com. (1 เมษายน 2563).
  14. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods and Drinks Highest in Fluoride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (1 เมษายน 2563).
  15. อรอุมา อังวราวงศ์ และคณะ. 2004. "ปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำประปาและน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีจำหน่ายในเขตอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา KDJ. 2004;7(1):17-24. (1 เมษายน 2563).
  16. Rizwan Ullah, et al. 2019. "Potential fluoride toxicity from oral medicaments: A review." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Iran J Basic Med Sci. 2017;20(8):841–848. (2 เมษายน 2563).