แมงกานีส (Manganese, Mn)

แมงกานีสเป็นธาตุโลหะในกลุ่มทรานสิชั่น ซึ่งมักพบในธรรมชาติร่วมกับธาตุเหล็ก พบมากในเปลือกโลก เมื่อนำมาเผากับก๊าซต่าง ๆ จะได้สารประกอบแมงกานีสที่ละลายน้ำได้ เช่น MnCl2, MnF2, MnF3, Mn3N2, Mn3O4 และ KMnO4 (ด่างทับทิม) โดยเฉพาะแมงกานีสไดออกไซด์ถือเป็นก๊าซพิษที่พบในโรงงานถลุงแร่ ส่วนแมงกานีสซัลเฟตและแมงกานีสฟอสเฟต เป็นสารระเหยที่มีพิษจากน้ำมันเบนซีน

แมงกานีสจัดเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่มีช่วงความปลอดภัยค่อนข้างแคบ ร่างกายต้องการเพียง 1.8–2.3 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากได้รับมากเกิน 11 มิลลิกรัมต่อวันอาจเกิดพิษได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสูดก๊าซหรือสารระเหย รวมถึงการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารละลายของแมงกานีสจากแหล่งอุตสาหกรรม

หน่วยวัดปริมาณแมงกานีส

ในอาหารวัดเป็นมิลลิกรัม (mg) ในเลือดวัดเป็นไมโครกรัมต่อลิตร (mcg/L) หรือในบางประเทศวัดเป็นนาโนโมลต่อลิตร (nmol/L) โดยที่ 1 mcg/L = 18 nmol/L

บทบาทของแมงกานีสในร่างกาย

แมงกานีสเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์หลายชนิด เช่น

แมงกานีสยังเกี่ยวข้องกับการสร้างกรดอะมิโน โคเลสเตอรอล ฮอร์โมนไทร็อกซิน การสืบพันธุ์ ภูมิคุ้มกัน และการแข็งตัวของเลือด

ในร่างกายมนุษย์มีแมงกานีสเพียง 10–20 มิลลิกรัม โดย 25–40% อยู่ในกระดูก ที่เหลืออยู่ในตับ ตับอ่อน ไต และสมอง ระดับในเลือดปกติคือ 1–15 mcg/L

แหล่งอาหารที่มีแมงกานีสสูง

แมงกานีสพบมากในชาเขียว ธัญพืช ถั่ว ผัก สมุนไพร เห็ด สับปะรด และกล้วย เนื้อสัตว์มีน้อย ยกเว้นหอย กรมอนามัยแนะนำให้รับประทานวันละ 2 มิลลิกรัม

การต้มผักทำให้สูญเสียแมงกานีสเพียงเล็กน้อย (~10%) ส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ

ร่างกายดูดซึมแมงกานีสจากอาหารได้เพียง 5–10% การดูดซึมลดลงเมื่อได้รับธาตุเหล็ก แคลเซียม และแมกนีเซียมในปริมาณสูงจากอาหารเสริม

น้ำดื่มเป็นอีกแหล่งสำคัญ โดยมีแมงกานีสเจือปน 1–100 mcg/L ทางการไทยกำหนดให้ไม่เกิน 50 mcg/L และน้ำทิ้งจากโรงงานไม่เกิน 20 mcg/L

เชื่อว่าแมงกานีสในน้ำดื่มและจากการสูดดมดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีกว่าในอาหาร

ภาวะขาดแมงกานีส

พบได้น้อยมาก อาจสงสัยในผู้ที่กินอาหารซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน อาการอาจรวมถึง อาเจียน ผื่น ผมหงอก น้ำตาลในเลือดสูง โคเลสเตอรอลต่ำ กระดูกบาง เด็กเจริญเติบโตช้า

แมงกานีสในอาหารเสริมมีได้หลายรูปแบบ เช่น manganese sulfate, manganese gluconate, manganese chelate และ manganese ascorbate (ที่มักผสมกับ chondroitin และ glucosamine) แต่ไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเองเนื่องจากความเสี่ยงต่อพิษ

พิษของแมงกานีส (Manganism)

พิษของแมงกานีสหรือแมงกานิซึ่ม ทำให้เกิดอาการคล้ายพาร์กินสันและโรคจิตเภท เริ่มจากหงุดหงิด ประสาทหลอน ปวดหัว แล้วตามด้วยมือสั่น เชื่องช้า สีหน้าเรียบเฉย เดินลำบาก เด็กจะเรียนรู้ช้าและความจำสั้น

สาเหตุที่พบได้ เช่น

  • คนงานเหมืองแร่
  • ผู้สูดดมน้ำมันเบนซีน
  • ชาวญี่ปุ่นและกรีซที่ดื่มน้ำปนเปื้อนแมงกานีส
  • ผู้รับประทานอาหารเสริมแมงกานีสต่อเนื่อง
  • ทารกที่ได้รับสารทางหลอดเลือด (TPN) โดยมีแมงกานีสเกิน

กลุ่มเสี่ยงต่อพิษแมงกานีส ได้แก่

ตารางแสดงปริมาณที่ควรได้รับและปริมาณสูงสุดต่อวัน:

ช่วงอายุปริมาณที่ควรได้/วัน (mg)ปริมาณสูงสุด/วัน (mg)
ชายหญิง
0-6 เดือน0.0030.003ไม่ทราบ
7-12 เดือน0.60.6ไม่ทราบ
1-3 ปี1.21.22.0
4-8 ปี1.51.53.0
9-13 ปี1.91.66.0
14-18 ปี2.21.69.0
19 ปีขึ้นไป2.31.811.0
หญิงตั้งครรภ์-2.011.0
หญิงที่ให้นมบุตร-2.611.0

การวินิจฉัยพิษแมงกานีสอาศัยอาการและประวัติการสัมผัส เนื่องจากแมงกานีสในเลือดมี half-life เพียง 2 ชั่วโมง และระดับในปัสสาวะไม่สะท้อนการขับออกอย่างแท้จริง

การรักษาเน้นการใช้ยาขับโลหะหนัก เช่น EDTA และอาจให้ยา PAS หรือธาตุเหล็กเสริม เพื่อลดการดูดซึมในระยะยาว สำหรับอาการทางระบบประสาท ต้องใช้ยารักษาแบบโรคพาร์กินสันตลอดชีวิต

สรุป

แมงกานีสเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในปริมาณน้อย แต่มีความสำคัญต่อกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ การเผาผลาญพลังงาน การทำงานของสมองและระบบต่าง ๆ ในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การได้รับแมงกานีสเกิน โดยเฉพาะจากแหล่งที่ไม่ใช่อาหาร เช่น น้ำดื่มปนเปื้อนหรือสารระเหยจากโรงงานอุตสาหกรรม อาจก่อให้เกิดพิษรุนแรงต่อระบบประสาทได้ ดังนั้นจึงควรระวังไม่ให้ได้รับเกินความจำเป็น และหลีกเลี่ยงการเสริมแมงกานีสโดยไม่ปรึกษาแพทย์

บรรณานุกรม

  1. "Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (5 เมษายน 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (5 เมษายน 2563).
  5. "Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (5 เมษายน 2563).
  6. "manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (5 เมษายน 2563).
  7. "10.2 Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (5 เมษายน 2563).
  8. "- Elements - 38: MANGANESE." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา apjcn.nhri.org.tw. (5 เมษายน 2563).
  9. "Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (5 เมษายน 2563).
  10. "Manganism." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (6 เมษายน 2563).
  11. Larry E. Johnson. 2018. "Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (5 เมษายน 2563).
  12. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (5 เมษายน 2563).
  13. "Manganese: The Mighty Trace Mineral." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา AlgaeCal. (5 เมษายน 2563).
  14. "แมงกานีส (Manganese)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Greenclinic (5 เมษายน 2563).
  15. "Public Health Statement for Manganese." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา ATSDR (6 เมษายน 2563).
  16. Stefanie L. O'Neal & Wei Zheng. 2015. "Manganese Toxicity Upon Overexposure: a Decade in Review." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Curr Environ Health Rep. 2015;2(3):315–328. (6 เมษายน 2563).
  17. "Manganese - Mn." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา LENNTECH (6 เมษายน 2563).