วัคซีนบีซีจี (BCG Vaccine)
วัคซีนบีซีจี (BCG) เป็นวัคซีนเพียงชนิดเดียวที่ใช้ป้องกันวัณโรคในปัจจุบัน พัฒนาขึ้นโดยนายแพทย์ Albert Calmette และนายสัตวแพทย์ Camille Guerin แห่งสถาบันปาสเตอร์ ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1921 ชื่อของทั้งสองท่านจึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อวัคซีนว่า "Bacillus Calmette Guerin" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า BCG
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
Calmette และ Guerin เลือกใช้เชื้อวัณโรควัว (Mycobacterium bovis) ซึ่งนายสัตวแพทย์ Edmond Nocard ได้เพาะจากฝีของเต้านมวัวในปี ค.ศ. 1908 (เรียกว่า Nocard strain) พวกเขาทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงด้วยการเพาะต่อเนื่องหลายครั้งในอาหารที่ประกอบด้วยกลีเซอรอล-มันฝรั่ง-น้ำดี กระบวนการนี้ต้องหยุดชะงักช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากขาดแคลนมันฝรั่งและความไม่ปลอดภัยจากภัยสงคราม
หลังสงคราม พวกเขาเพาะเชื้อต่อเนื่องรวม 230 ครั้ง และเมื่อพบว่าเชื้ออ่อนฤทธิ์ไม่เป็นอันตรายในสัตว์ทดลอง จึงเริ่มทดลองในเด็กแรกเกิดที่มารดาเสียชีวิตจากวัณโรค โดยให้วัคซีนทางปาก ผลปรากฏว่าเด็กไม่เกิดอันตรายและไม่เป็นวัณโรค จากนั้นจึงเริ่มให้วัคซีนแก่ทารกแรกเกิดจากมารดาที่ป่วยวัณโรครุนแรง (โดยให้ผู้ปกครองตัดสินใจว่าจะให้ลูกได้รับวัคซีนหรือไม่) ระหว่างปี ค.ศ. 1921-1924 มีการให้วัคซีนทางปากกับเด็กมากกว่า 300 คน พบว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนมีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน ต่อมาจึงเริ่มขยายการให้วัคซีนในประเทศอื่น ๆ ทั้งในและนอกทวีปยุโรป
ภายหลังมีการศึกษาพบว่า การฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง (intradermal) ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อทูเบอร์คูลินได้ดีกว่าการให้ทางปาก และยังเกิดผลแทรกซ้อนน้อยกว่าการฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous) จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีฉีดเข้าในผิวหนังเป็นมาตรฐานจนถึงปัจจุบัน
แม้วิธีการผลิตวัคซีนบีซีจีอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่เชื้อที่ใช้ต้องมีสายพันธุกรรมต่อเนื่องมาจาก Bacillus ของ Calmette และ Guerin เท่านั้น วัคซีนที่ผลิตได้ต้องมีประสิทธิภาพเพียงพอในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่ไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน จึงต้องมีการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มใช้งานวัคซีน BCG อย่างเป็นระบบในปี พ.ศ. 2491 ด้วยความร่วมมือจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) ได้พระราชทานตึกมหิดลวงศานุสรณ์ให้สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เพื่อเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนบีซีจีภายในประเทศ
ปัจจุบัน องค์การเภสัชกรรมและสถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบด้านการผลิตและควบคุมคุณภาพ ทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึง
วัคซีนบีซีจีถูกรวมอยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ โดยให้บริการฟรีสำหรับเด็กแรกเกิด ภูมิคุ้มกันจะเริ่มสร้างภายใน 4-6 สัปดาห์หลังฉีด และคงอยู่ได้นานประมาณ 10 ปี โดยไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำในภายหลัง เพราะภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะพัฒนาขึ้นเอง โดยเฉพาะในวัยเด็ก วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันวัณโรคได้ประมาณ 80% โดยเฉพาะวัณโรคเยื่อหุ้มสมองในเด็กเล็ก
💉 วิธีฉีดวัคซีน
- ฉีดเข้าในผิวหนัง (intradermal) ที่ต้นแขนซ้าย
- ทารกแรกเกิด - 1 ปี: ใช้ขนาด 0.05 มล.
- เด็กอายุมากกว่า 1 ปี: ใช้ขนาด 0.1 มล.
ควรฉีดภายใน 1 เดือนหลังคลอด หากไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนบีซีจี และไม่มีแผลเป็นจากการฉีดมาก่อน สามารถฉีดได้ 1 เข็มทันที ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปไม่จำเป็นต้องฉีด เพราะจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันจากการสัมผัสเชื้อวัณโรคในสิ่งแวดล้อม และวัณโรคในผู้ใหญ่มักไม่รุนแรงเท่าในเด็ก
วัคซีนบีซีจีในปัจจุบันเป็นชนิดแห้ง สามารถเก็บได้นาน 3 ปี ที่อุณหภูมิ 2-8°C และต้องเก็บให้พ้นแสง เนื่องจากแสงจะทำลายเชื้อในวัคซีน ทำให้คุณภาพลดลง ก่อนใช้งานต้องละลายด้วยน้ำเกลือ 1 มล. และเมื่อผสมน้ำเกลือแล้ว ต้องใช้ให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
- หลังฉีดจะเกิดตุ่มนูนขนาด 6-8 มม. และจะยุบลงเองภายในระยะเวลาหนึ่ง
- ประมาณสัปดาห์ที่ 2 หลังฉีด จะเกิดตุ่มนูนแดงที่จุดฉีด แล้วแตกเป็นแผลเล็ก ๆ มีหนอง โดยแผลจะมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ นานราว 6 สัปดาห์ จากนั้นจะหายไป เหลือเพียงแผลเป็นเล็ก ๆ
ในระหว่างมีแผล ควรล้างด้วยน้ำสะอาด ห้ามใส่ยา ห้ามปิดแผล และไม่ควรบ่งหนอง
ภาวะแทรกซ้อนจากวัคซีนบีซีจีที่พบไม่บ่อยและอาจต้องการการดูแลเพิ่มเติม ได้แก่
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบเป็นหนอง พบประมาณ 5 รายในทุกๆ 10,000 คนที่ได้รับวัคซีน มักเกิดที่รักแร้หรือไหปลาร้าของแขนข้างที่ฉีด หากก้อนมีขนาดเล็กกว่า 1 ซม. มักจะหายได้เองภายใน 2–6 เดือนโดยไม่ต้องรักษา
ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านวัณโรค เช่น INH หรือ INH ร่วมกับ Rifampicin เป็นเวลา 1–3 เดือน หากก้อนนิ่มและคล้ายฝี อาจมีการเจาะดูดหนองออก และหากอาการไม่ดีขึ้นหรือก้อนมีขนาดใหญ่มาก อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม
- กระดูกอักเสบจากวัคซีนบีซีจี (BCG osteitis) พบได้ประมาณ 3 รายในทุกๆ 10,000 คนที่ได้รับวัคซีน โดยทั่วไปสามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการให้ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ และยาต้านวัณโรค (ยกเว้น Pyrazinamide เพราะเชื้อ M. bovis ดื้อยา) เป็นเวลา 1 ปี โดยมากกว่า 97% สามารถฟื้นตัวได้โดยไม่เกิดความพิการ
เกณฑ์วินิจฉัย BCG Osteitis
- เคยได้รับวัคซีนบีซีจีมาก่อน
- ไม่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวัณโรค
- มีอาการ ภาพถ่ายรังสี หรือสัญญาณอื่นที่เข้าได้กับภาวะกระดูกอักเสบ
- มีอย่างน้อยหนึ่งในข้อดังต่อไปนี้
- ตรวจพบเชื้อ M. bovis สายพันธุ์ BCG จากบริเวณที่ติดเชื้อ
- ผลตรวจย้อมพบเชื้อ AFB ในตำแหน่งติดเชื้อ
- ผลชิ้นเนื้อแสดงลักษณะของการติดเชื้อวัณโรค เช่น epithelioid cell granuloma
- การติดเชื้อ BCG กระจายทั่วร่างกาย (Disseminated BCG) เป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก (ประมาณ 2 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคน) และมักเกิดในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง การรักษาจะเป็นแบบเดียวกับวัณโรค ซึ่งถึงแม้จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ผลลัพธ์ก็ยังแตกต่างกันในแต่ละราย
เกณฑ์วินิจฉัย Disseminated BCG
- มีอาการระบบทั่วไปที่เข้าได้กับการติดเชื้อวัณโรค เช่น ไข้ น้ำหนักลด ซีด หรือเสียชีวิต
- มีอย่างน้อยหนึ่งในข้อดังต่อไปนี้
- ตรวจพบเชื้อ BCG จากการเพาะเลือดหรือไขกระดูก และได้รับการยืนยันโดยวิธีชีวเคมี
- มีการติดเชื้อ BCG ที่มากกว่าสองตำแหน่งในร่างกายนอกเหนือจากบริเวณที่ฉีดวัคซีน เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ตับ ปอด หรือสมอง
📌 สรุป
- วัคซีน BCG เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญในการป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง
- มีความปลอดภัย และทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพราะมีประวัติใช้มาอย่างยาวนาน
- ข้อควรระวังคือ ยังไม่ควรฉีดในเด็กที่สงสัยว่าอาจมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV
- ฉีดให้ฟรีในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ
บรรณานุกรม
- "วัคซีนบีซีจี คือ วัคซีนอะไร." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สถานเสาวภา สภากาชาดไทย. (20 เมษายน 2564).
- "History of BCG vaccine - Calmette, Guerin, Lubeck." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา TBFACTS.ORG. (20 เมษายน 2564).
- "BCG vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (20 เมษายน 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
- "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).