วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (HAV Vaccine)

ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) เป็นไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยวแบบมีขั้วบวก (positive single-stranded RNA virus) ไม่มีเปลือกหุ้ม จัดอยู่ในกลุ่ม Enterovirus type 72 เพราะไวรัสอาศัยอยู่ในลำไส้และถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย เพิ่งเพาะแยกเชื้อได้สำเร็จครั้งแรกในปี ค.ศ. 1979

โรคตับอักเสบเอ ติดต่อผ่านอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมีระยะฟักตัวราว 1 เดือน ซึ่งผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงนี้ อาการเบื้องต้น ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด และหากตรวจเลือดจะพบค่าเอนไซม์ตับสูงมาก (เกือบ 1000 U/L) และมี anti-HAV IgM เป็นบวก ในบางรายโดยเฉพาะผู้ใหญ่ อาจเกิดภาวะตับวายเฉียบพลันได้ (ประมาณ 0.01%)

อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ ไข้ลง แต่ยังมีตัวเหลืองตาเหลืองอีกนานถึง 1 เดือน โรคนี้โดยทั่วไปหายได้เอง ไม่เรื้อรัง ไม่กลายเป็นพาหะ และเมื่อหายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันถาวร

ความชุกของโรคไวรัสตับอักเสบเอลดลงตั้งแต่ที่มีการปรับปรุงสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น องค์การอนามัยโลกได้แบ่งระดับความชุกของโรคตับอักเสบเอในประเทศต่าง ๆ เป็น 3 ระดับคือ

  1. ประเทศที่มีการระบาดสูง (สีแดง): คนส่วนใหญ่มักติดเชื้อตั้งแต่เด็กโดยไม่แสดงอาการ จึงไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนในวงกว้าง
  2. ประเทศที่เคยระบาดมาก่อนแต่ลดลง (สีส้มและสีเหลือง): ได้แก่ ประเทศที่มีระดับเศรษฐานะปานกลาง เมื่ออนามัยดีขึ้นการติดเชื้อก็ลดลง แต่จะมีผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันจำนวนมาก จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนสำหรับผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มนี้
  3. ประเทศที่มีการระบาดต่ำ (สีครีม): ให้ฉีดเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้เดินทางไปถิ่นระบาด ผู้รับเลือดบ่อย ผู้ที่ต้องสัมผัสลิง (เพราะลิงเป็น reservoir host ของเชื้อ HAV) ชายรักชาย ผู้ใช้ยาเสพติด และผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอตัวแรกเป็นวัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) พัฒนาโดย Dr. Maurice R. Hilleman และทีมงานของบริษัท Merck ท่านทำสำเร็จในปี ค.ศ. 1976 ก่อนที่โลกจะเพาะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้สำเร็จด้วยซ้ำ วัคซีนตัวนี้ใช้ชื่อการค้าว่า Vaqta® แต่กว่าจะผ่านการอนุมัติให้ใช้ได้ทั่วไปก็ปี ค.ศ. 1995

หลังปี ค.ศ. 1979 เมื่อรายละเอียดของเชื้อถูกค้นพบ การพัฒนาวัคซีนของอีกหลายบริษัทจึงง่ายขึ้น รวมทั้งมีการพัฒนาวัคซีนเชื้อเป็นแต่อ่อนฤทธิ์จากประเทศจีน



🏥   การใช้ในประเทศไทย

โรงพยาบาลเอกชนของไทยเริ่มนำวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอมาใช้ตั้งแต่ปี 2543 ปัจจุบันมีหลายชนิด ได้แก่

  1. วัคซีนเชื้อตาย อยู่ในรูปน้ำยาแขวนตะกอนของไวรัส (virus suspension) มีอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ผสมเป็น adjuvant ใช้ฉีดเข้ากล้าม จำนวน 2 เข็ม ปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ
    • Havrix® ของบริษัท GSK
    • Vaqta® ของบริษัท MSD
    • Avaxim® ของบริษัท sanofi pasteur
  2. วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ได้แก่ MEVAC-A® ของบริษัท Zhejiang Pukang Biotechnology ประเทศจีน พัฒนามาจากสายพันธุ์ H2 เป็นวัคซีนชนิดผงแห้ง ต้องละลายน้ำก่อนฉีดใต้ผิวหนัง เข็มเดียว
  3. วัคซีนเชื้อตายชนิดรวมไวรัสตับอักเสบเอและบี อยู่ในรูปยาน้ำแขวนตะกอนของไวรัส มีส่วนผสมของอลูมิเนียมฟอสเฟต และอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์เป็น adjuvant ได้แก่ Twinrix® ของ GSK ใช้ฉีดเข้ากล้าม จำนวน 2 เข็มในเด็ก และ 3 เข็มในผู้ใหญ่

💉   วิธีฉีดวัคซีนแต่ละชนิด

ขนาดและระยะเวลาในการฉีดวัคซีนแต่ละชนิดดูในรูป เด็กสามารถฉีดได้เลย ส่วนผู้ใหญ่ให้เจาะภูมิ anti-HAV IgG ก่อน ถ้ามีภูมิแล้วไม่จำเป็นต้องฉีด

วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง แต่ยังไม่อยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของภาครัฐเ ผู้ที่ต้องการฉีดต้องชำระเงินเอง

👤   กลุ่มที่ควรฉีดถ้ายังไม่มีภูมิ

  ข้อสำคัญ

* วัคซีนที่ให้ในเด็กอายุ 6-11 เดือนจะไม่นับเข็มนั้น และจะต้องให้วัคซีนอีก 2 ครั้งหลังอายุ 12 เดือนขึ้นไป เพราะเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี จะมีภูมิคุ้มกันที่ส่งผ่านมาจากมารดาไปรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันในทารก จึงไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเชื้อตายในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในเด็กอายุน้อยกว่า 18 เดือน

** ห้ามฉีดวัคซีนเชื้อเป็นในหญิงมีครรภ์ ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วยฮีโมฟิเลียเอ หรือหลังรับ IVIG ภายใน 1 เดือน ส่วนวัคซีนเชื้อตายก็ไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ เพราะยังไม่มีการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เพียงพอ

*** การป้องกันหลังสัมผัสโรค ให้ใช้วัคซีนเชื้อตายภายใน 2 สัปดาห์ และรับเข็มที่ 2 ห่าง 6 เดือน ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ควรได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (0.1 มล./กก.) ร่วมด้วย

⏏   ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น

วัคซีนเชื้อตายให้ภูมิสูง 94–100% และอยู่ได้นาน 16–25 ปี

วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ให้ภูมิภายใน 2–4 สัปดาห์ และอยู่ได้นานอย่างน้อย 15 ปี

วัคซีนทุกชนิดต้องเก็บในตู้เย็น 2–8°C ห้ามแช่แข็ง วัคซีนเชื้อเป็นต้องเก็บในที่มืด อายุเก็บวัคซีนเชื้อตายประมาณ 3 ปี เชื้อเป็นประมาณ 18 เดือน

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

  • อาการปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด
  • ไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ในบางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ซึ่งพบได้น้อยมาก

📌   สรุป

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และให้ภูมิคุ้มกันถาวร มีทั้งชนิดเชื้อตาย เชื้อเป็น และแบบรวมกับไวรัสตับอักเสบบี เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงหลายกลุ่ม แม้ยังไม่ได้บรรจุในแผนวัคซีนแห่งชาติ แต่ควรพิจารณาฉีดโดยเฉพาะในผู้ที่เดินทางไปถิ่นระบาด หรือมีภาวะเสี่ยงต่อโรคตับอักเสบ


บรรณานุกรม

  1. "Hepatitis A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (11 พฤษภาคม 2564).
  2. "Hepatitis A vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (11 พฤษภาคม 2564).
  3. Daniel Shouval. 2020. "The History of Hepatitis A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clin Liv Dis. 2020;16(S1):12-23. (11 พฤษภาคม 2564).
  4. Annemarie Wasley, et al. 2006. "Hepatitis A in the Era of Vaccination." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Epi Rev. 2006;28(1):101–111. (11 พฤษภาคม 2564).
  5. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  6. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).