วัคซีนเอชพีวี (HPV Vaccine)
เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นไวรัสชนิด DNA ขนาดเล็ก ไม่มีเยื่อหุ้ม พบได้หลายสายพันธุ์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่ทำให้เกิดหูดที่ผิวหนัง และกลุ่มที่อยู่ในเซลล์เยื่อบุ เช่น ช่องปาก คอ ช่องคลอด และทวารหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดหูดหงอนไก่บริเวณนั้น และติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์
ไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในสัตว์โดย Dr. Richard Shope ในปี ค.ศ. 1933 จากกรณี “เขากระต่าย” ซึ่งแท้จริงคือหูดจากเชื้อไวรัส เชื้อนี้ติดต่อได้ถ้าบดเขาแล้วฉีดเข้าในกระต่ายอีกตัวหนึ่ง เขาตั้งชื่อไวรัสว่า CRPV (Cottontail Rabbit Papillomavirus) ซึ่งถือเป็นการค้นพบไวรัสก่อมะเร็งในสัตว์ครั้งแรก
ภายหลัง Dr. Francis Peyton Rous ได้แสดงให้เห็นว่าไวรัส papilloma สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในไก่ และได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1966 กระทั่ง Dr. Harald zur Hausen เชื่อมโยงการติดเชื้อ HPV กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยพบว่า 70% ของมะเร็งปากมดลูกมี HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุ และระบุว่าโปรตีน E6 และ E7 จากไวรัสจะไปยับยั้งยีนกดการแบ่งเซลล์มะเร็ง (p53 และ pRb) ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งได้ WHO จึงประกาศในปี 1995 ว่า HPV-16 และ HPV-18 เป็นไวรัสก่อมะเร็ง และ Dr. zur Hausen ได้รับรางวัลโนเบลจากงานวิจัยนี้
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
การพัฒนาวัคซีน HPV เริ่มจากงานของ Shope เพราะเชื้อ CRPV ที่ Shope ค้นพบมีลักษณะคล้าย HPV ในคนมาก ปัญหาคือไวรัส papilloma จากสัตว์แต่ละชนิดจะเพาะขึ้นเฉพาะในเซลล์ของสัตว์ชนิดนั้น ๆ ทำให้ผลิตวัคซีนได้เฉพาะสำหรับสัตว์ จน Dr. John Kneider พบวิธีปลูกเชื้อ HPV ในหนูทดลองที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ทำให้เราสามารถทดลองวัคซีนในมนุษย์ และได้ วัคซีน HPV ตัวแรกออกสู่ตลาดในปี ค.ศ. 2006
ปัจจุบันมีวัคซีน HPV อยู่ 3 ชนิด ได้แก่
- ชนิด 2 สายพันธุ์ (Bivalent): ป้องกันสายพันธุ์ 16 และ 18 ใช้เซลล์ baculovirus ในการผลิต ประกอบด้วยโปรตีน L1 ของ HPV 16 และ 18 อย่างละ 20 ไมโครกรัม พร้อม adjuvant ได้แก่ aluminium hydroxide 500 ไมโครกรัม และ MPL 50 ไมโครกรัม ชื่อการค้า: Cervarix® โดย GSK ใช้กับหญิงเท่านั้น
HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก
- ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent): ป้องกันสายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ใช้เซลล์ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ในการผลิต ประกอบด้วยโปรตีน L1 ของแต่ละสายพันธุ์ในปริมาณ 20, 40, 40 และ 20 ไมโครกรัม ตามลำดับ มี adjuvant เป็น aluminium hydroxyphosphate sulfate ชื่อการค้า: Gardasil® โดย MSD ใช้กับหญิงและชาย
สายพันธุ์ 6 และ 11 ก่อหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ
- ชนิด 9 สายพันธุ์ (Nonavalent): ป้องกันสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ผลิตจากเซลล์ยีสต์เช่นเดียวกับชนิด 4 สายพันธุ์ ประกอบด้วยโปรตีน L1 ของแต่ละสายพันธุ์ในปริมาณรวม 270 ไมโครกรัม และ adjuvant aluminium hydroxyphosphate sulfate ชื่อการค้า: Gardasil 9® โดย MSD ใช้กับหญิงและชาย อายุ 9–45 ปี ครอบคลุมสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 90%
สายพันธุ์ 45, 31 และ 33 ก่อมะเร็งปากมดลูกมากในลำดับถัดมา
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกประมาณ 10,000 คนต่อปี และเสียชีวิตกว่า 5,000 คน/ปี หรือ 14 คน/วัน จึงมีการบรรจุวัคซีน HPV 2 สายพันธุ์ (Cervarix®) ในแผนวัคซีนพื้นฐาน สำหรับเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 (10 ปีหลังมีใช้ในคลินิกเอกชน)
WHO แนะนำให้ฉีดทั้งหญิงและชายอายุ 9–26 ปี โดยทั่วไปฉีด 3 เข็ม คือเดือนที่ 0, 1–2 และ 6 ยกเว้นเริ่มฉีดก่อนอายุ 15 ปี สามารถฉีดเพียง 2 เข็มในเดือนที่ 0 และ 6–12
วัคซีนจะได้ผลดีที่สุดหากฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพราะไม่สามารถรักษาการติดเชื้อ HPV ที่เกิดขึ้นแล้วได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ยังสามารถฉีดได้ เพื่อป้องกันสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยติด
ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนชนิด 2 หรือ 4 สายพันธุ์ หากต้องการเปลี่ยนมารับชนิด 9 สายพันธุ์ สามารถฉีดเพิ่มอีก 2 เข็ม ห่างกัน 6–12 เดือน
กรณีตั้งครรภ์ระหว่างฉีดวัคซีน ยังไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนมีอันตรายต่อทารก แต่แนะนำให้เลื่อนฉีดจนหลังคลอด
วัคซีนสามารถให้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ติดเชื้อจากมารดา ควรฉีดในช่วงอายุ 11–12 ปี ก่อนเริ่มเพศสัมพันธ์
ผู้แพ้ยีสต์รุนแรงไม่ควรรับวัคซีนชนิด 4 และ 9 สายพันธุ์
วัคซีนไม่จำเป็นต้องตรวจภาวะติดเชื้อก่อนฉีด
⏏ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น
หากไม่เคยติดเชื้อมาก่อน วัคซีนชนิด 2 และ 4 สายพันธุ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 100% และ 98% ตามลำดับ แต่หากเคยติดเชื้อแล้ว ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือ 46% และ 44% แต่ก็ยังดีกว่าการติดตามธรรมชาติซึ่งไม่ค่อยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ระดับแอนติบอดีคาดว่าจะอยู่ได้นานกว่า 30 ปี
วัคซีนป้องกันโรคได้มากกว่า 90% หากฉีดก่อนเริ่มเพศสัมพันธ์ และแม้ได้รับวัคซีนแล้ว ผู้หญิงยังจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามปกติ
วัคซีนทุกชนิดเป็นน้ำแขวนตะกอนบรรจุในเข็มฉีดยาพร้อมใช้ (pre-filled syringe) ปริมาณ 0.5 mL ต้องเก็บในอุณหภูมิ 2–8°C ห้ามแช่แข็งและห้ามสัมผัสแสง
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
- ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด (ประมาณ 25%)
- ไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ (ประมาณ 10%)
- วัยรุ่นบางคนอาจเกิดอาการหน้ามืดหลังฉีดพร้อมกันหลายคน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางจิตวิทยาแบบหมู่ (mass psychogenic response) จึงควรเฝ้าสังเกตอาการหลังฉีดประมาณ 30 นาที
- อาการแพ้รุนแรง (พบน้อยมาก)
📌 สรุป
- วัคซีน HPV เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกและหูดหงอนไก่ การฉีดวัคซีนร่วมกับการตรวจคัดกรองจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกในระยะยาว
- วัคซีนมีหลายชนิด ป้องกันไวรัสได้หลายสายพันธุ์ โดยชนิด 9 สายพันธุ์สามารถครอบคลุมการป้องกันได้ถึง 90%
- ควรได้รับวัคซีนก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- วัคซีนมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงไม่รุนแรง และสามารถฉีดได้แม้ในผู้ติดเชื้อ HIV
บรรณานุกรม
- José Veríssimo Fernandes, et al. 2013. "Biology and natural history of human
papillomavirus infection." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Open Access J of Clinical Trials. (7 พฤษภาคม 2564).
- "Human papillomavirus (HPV)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา animalresearch.info. (7 พฤษภาคม 2564).
- "Peyton Rous." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา nobelprize.org. (7 พฤษภาคม 2564).
- "Harald zur Hausen." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา nobelprize.org. (7 พฤษภาคม 2564).
- "Human papillomavirus infection" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia (7 พฤษภาคม 2564).
- "HPV... ไวรัสร้ายใกล้ตัวที่ควรป้องกันตั้งแต่วัยรุ่น." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา โรงพยาบาลรามาธิบดี. (7 พฤษภาคม 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
- "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).