วัคซีนฮิบ (Hib Vaccine)

เชื้อฮิบ (Hib) คือเชื้อแบคทีเรีย *Haemophilus influenzae* type b ที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงในเด็กเล็ก เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม ข้ออักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด

*Haemophilus influenzae* เป็นแบคทีเรียขนาดเล็ก รูปร่างกึ่งกลมกึ่งแท่ง (coccobacilli) มักอยู่เป็นคู่ และติดสีแดงเมื่อย้อมแบบแกรม (Gram-negative) คำว่า "Haemophilus" มาจากภาษากรีก *haîma* ซึ่งแปลว่า “เลือด” เชื้อนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1892 ระหว่างการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1933 จึงทราบว่าไวรัส Influenza ต่างหากเป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ ส่วน *H. influenzae* เป็นเชื้อร่วมที่ติดตามมาภายหลัง

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

Dr. Margaret Pittman นักแบคทีเรียวิทยาชื่อดังได้จำแนกลักษณะของเชื้อ *H. influenzae* อย่างละเอียดในช่วงทศวรรษ 1930s โดยพบว่าเชื้อนี้มีทั้งสายพันธุ์ที่มีแคปซูล (a, b, c, d, e, f) และไม่มีแคปซูล โดยสายพันธุ์ b เป็นชนิดที่ก่อโรครุนแรงที่สุด ซึ่งสามารถลุกลามเข้าสู่เลือดและน้ำไขสันหลัง ในขณะที่สายพันธุ์ที่ไม่มีแคปซูลมักอยู่ที่เยื่อบุผิวและก่อโรคไม่รุนแรง

ในยุคนั้น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจาก Hib มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 30 เด็กที่รอดชีวิตประมาณ 30% มีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการชัก หูหนวก หรือปัญญาอ่อน ยาปฏิชีวนะมีอัตราดื้อยาสูง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาวัคซีน

แคปซูลของเชื้อ Hib ประกอบด้วย polysaccharide ชื่อ PRP (polyribosyl-ribitol-phosphate) ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ วัคซีนรุ่นแรกในปี 1985 ใช้ PRP บริสุทธิ์เป็นส่วนประกอบ แต่ไม่ได้ผลในเด็กอายุน้อย เพราะกระตุ้นเพียง B cell แต่ไม่กระตุ้น T cell จึงไม่สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว ซึ่งเรียกว่า “T-independent antigen” วัคซีนรุ่นนี้ใช้ได้ดีในเด็กอายุมากกว่า 18 เดือน แต่ไม่สามารถป้องกันเด็กเล็กในวัยที่เสี่ยงได้

วัคซีนรุ่นที่สองได้พัฒนาโดยนำ PRP มาเชื่อมกับโปรตีน (เช่น diphtheria toxoid) เพื่อกระตุ้น T cell ทำให้สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาวได้สำเร็จ เรียกว่าวัคซีนชนิด “Conjugated vaccine” ซึ่งเริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1987 โดย Dr. John Robbins และ Dr. Rachel Schneerson และกลายเป็นแบบอย่างในการพัฒนาวัคซีนชนิดอื่น เช่น วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น และวัคซีนป้องกันปอดบวมจากเชื้อนิวโม

วัคซีนรุ่นที่สามหันมาใช้ tetanus toxoid แทน diphtheria toxoid และพัฒนาต่อเป็นวัคซีนผสมหลายชนิด (เช่น Hib + DTaP) เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน



🏥   การใช้ในประเทศไทย

ประเทศไทยเริ่มบรรจุวัคซีน Hib ในแผนวัคซีนแห่งชาติ (EPI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 โดยรวมอยู่ในวัคซีนผสม 5 in 1 เด็กไทยได้รับฟรีตามกำหนด คือเมื่ออายุ 2, 4 และ 6 เดือน ส่วนเข็มกระตุ้นที่อายุ 12–18 เดือน ไม่จำเป็นต้องฉีดในเด็กทั่วไป แต่แนะนำในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือไม่มีม้าม

หากพ้นวัยทารกแล้วยังสามารถฉีดวัคซีนได้ถึงอายุ 2 ปี โดยลดจำนวนเข็มลง ส่วนที่เด็กอายุมากกว่า 2 ปีไม่จำเป็นต้องฉีด ยกเว้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่มีม้าม หรือปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งควรได้รับ 2 เข็ม ห่างกัน 2 เดือน

วัคซีน Hib ปัจจุบันให้ภูมิคุ้มกันสูงมาก อาการข้างเคียงพบได้น้อย การใช้วัคซีนรวมที่มีฮิบร่วมกับคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) ตับอักเสบบี (HB) และโปลิโอ (IPV) ไม่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

วัคซีนควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 2–8°C ห้ามแช่แข็ง โดยทั่วไปวัคซีนมีอายุ 2–3 ปี

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

  • ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด หายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
  • ไข้ หรือผื่น ไม่รุนแรง
  • อาการแพ้รุนแรง (พบน้อยมาก)

📌   สรุป

วัคซีน Hib เป็นวัคซีนที่สำคัญในการป้องกันโรคร้ายแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ พัฒนาการของวัคซีนผ่านหลายขั้นตอน จากวัคซีนที่ใช้ไม่ได้ผลในทารก มาสู่วัคซีนชนิดเชื่อมโปรตีนที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย ปัจจุบันรวมอยู่ในวัคซีนผสมที่เด็กไทยได้รับฟรี การได้รับวัคซีนตรงตามกำหนดสามารถช่วยลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากเชื้อ Hib ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บรรณานุกรม

  1. "What is the History of Hib in America and Other Countries?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา National Vaccine Information Center. (28 เมษายน 2564).
  2. "What is the History of Hib Vaccine in America?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา National Vaccine Information Center. (28 เมษายน 2564).
  3. Adi Essam Zarei, et al. 2016. "Hib Vaccines: Past, Present, and Future Perspectives." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Immunol Res. (28 เมษายน 2564).
  4. "Women of Discovery: Margaret Pittman." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Discovery West. (29 เมษายน 2564).
  5. "Hib vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (28 เมษายน 2564).
  6. "Haemophilus influenzae type b Vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (28 เมษายน 2564).
  7. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  8. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).