วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Vaccine, MCV)

โรคไข้กาฬหลังแอ่นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitidis ซึ่งเป็นเชื้อแกรมลบ รูปร่างกลมคล้ายเมล็ดถั่ว มักอยู่เป็นคู่ มีแคปซูลหุ้ม ถูกค้นพบครั้งแรกในน้ำไขสันหลังของผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดย Anton Weichselbaum นักพยาธิวิทยาชาวออสเตรียในปี ค.ศ. 1887

เชื้อนี้สามารถพบได้ในคอหอยของคนทั่วไปประมาณร้อยละ 5–10 โดยไม่ทำให้เกิดอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ทางการไอ จาม หรือสัมผัสน้ำมูกน้ำลาย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ไม่มีม้าม มีภาวะ hypogammaglobulinemia ขาดคอมพลีเมนต์ ได้รับยากดภูมิ หรือเป็นทารกแรกเกิด จะเสี่ยงแสดงอาการรุนแรง ได้แก่ ไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง อาเจียน จุดเลือดออกตามผิวหนัง ความดันต่ำ ชัก หมดสติ และอาจเสียชีวิตภายใน 6–24 ชั่วโมง

สายพันธุ์ของเชื้อที่ก่อโรคในมนุษย์มี 6 ชนิด ได้แก่ A, B, C, W, X และ Y โดยในประเทศไทยพบสายพันธุ์ B เป็นส่วนใหญ่

โรคนี้พบมากในบริเวณแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา หรือที่เรียกว่า "Meningitis belt" (พื้นที่สีส้มในรูป) ตั้งแต่ประเทศแกมเบียจนถึงเอธิโอเปีย และมีการระบาดในประเทศซาอุดิอาระเบียระหว่างพิธีฮัจญ์ ผู้เดินทางไปประเทศในพื้นที่สีส้มและเหลือง เช่น ลิเบีย จำเป็นต้องได้รับวัคซีนก่อนเข้า ส่วนประเทศอื่น ๆ ต้องได้รับวัคซีนก่อนเข้าร่วมพิธีฮัจญ์

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่นเริ่มพัฒนาในทศวรรษ 1960 โดยใช้ในทหารอเมริกัน วัคซีนรุ่นแรกเป็นชนิดโพลีแซคคาไรด์ (MPSV4) ครอบคลุมสายพันธุ์ A, C, W และ Y ใช้ชื่อว่า Menomune® ซึ่งมีภูมิคุ้มกันอยู่ได้ไม่นาน

รุ่นที่สองเป็นวัคซีนคอนจูเกต (MCV4) โดยนำ Menomune® ผสมกับ diphtheria toxoid เพื่อกระตุ้น T-cell ในเด็กเล็ก ชื่อว่า Menactra® ในปี ค.ศ. 2005 ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 มีการพัฒนา Menveo® โดยใช้โปรตีน CRM197 แทน diphtheria toxoid เพื่อลดผลข้างเคียง

ในปี ค.ศ. 2017 บริษัท Sanofi Pasteur หยุดผลิต Menomune® เนื่องจากวัคซีนคอนจูเกตให้ภูมิคุ้มกันที่ยาวนานกว่า และได้พัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ที่ใช้ tetanus toxoid เช่น Nimenrix® และ MenQuadfi®

วัคซีนสายพันธุ์ B เป็นชนิดที่พัฒนายากที่สุด เพราะ Capsular B antigen มีโครงสร้างคล้ายเซลล์ประสาทมนุษย์ จึงใช้แอนติเจนชนิดอื่นแทน และได้วัคซีน Trumenba® (ปี 2014) และ Bexsero® (ปี 2015)

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับสายพันธุ์ X เนื่องจากพบเคสน้อย



🏥   การใช้ในประเทศไทย

ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้ปีละ 8–34 ราย จึงไม่อยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แต่เป็นโรคที่ต้องแจ้งต่อสำนักระบาดวิทยาภายใน 24 ชั่วโมง

👤   กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีด

  1. ทารก 2–23 เดือนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  2. วัย 2-55 ปี ที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  3. ผู้มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่เสี่ยงสัมผัสเชื้อ เช่น นักจุลชีววิทยา
  4. ผู้เดินทางไป Meningitis belt หรือพิธีฮัจญ์/อุมเราะห์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เสี่ยงสูงในช่วงฤดูแล้ง (พ.ย.–มิ.ย.)
  5. นักเรียน/นักศึกษาที่ไปเรียนในประเทศที่กำหนดให้ฉีดวัคซีน
  6. ผู้มีอายุ ≥10 ปี ที่เสี่ยงต่อสายพันธุ์ B

* วัคซีนกระตุ้นใช้ Menactra® หรือ Menveo® แทนกันได้

** หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับวัคซีนชนิดใด ๆ

วัคซีนต้องเก็บในอุณหภูมิ 2–8°C ห้ามโดนแสง และควรใช้ภายใน 30 นาทีหลังผสม



⏏   ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น

ในเด็กเล็ก Menveo® กระตุ้นแอนติบอดีได้สูงกว่า Menactra® แต่หลัง 3 ปีระดับแอนติบอดีลดลงใกล้เคียงกัน ส่วนในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ทั้งสองให้ภูมิที่เทียบเท่า และอยู่ได้นาน 6 ปี

วัคซีนสายพันธุ์ B ทั้งสองป้องกันได้ราว 80% แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานเท่าใด จึงยังไม่แนะนำให้ฉีดกระตุ้น

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดบริเวณที่ฉีด หงุดหงิด ปวดหัว อ่อนเพลีย ส่วนใหญ่หายภายใน 3 วัน อาจมีไข้ร้อยละ 2–5 และพบกลุ่มอาการ Guillain-Barré syndrome (GBS) ได้แต่น้อยมาก

วัคซีนสายพันธุ์ B อาจมีผลข้างเคียงที่พบบ่อยและรุนแรงกว่า

📌   สรุป

วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นมีหลายชนิด ครอบคลุมสายพันธุ์ A, B, C, W, Y และบางชนิดใช้เป็นวัคซีนคอนจูเกตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้เดินทางไปต่างประเทศ และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง วัคซีนมีความปลอดภัยดี ผลข้างเคียงน้อย และมีภูมิคุ้มกันยาวนาน 5–6 ปี


บรรณานุกรม

  1. "Meningococcal Disease ." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (17 พฤษภาคม 2564).
  2. "Meningococcal vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (17 พฤษภาคม 2564).
  3. "What is the history of Meningococcal vaccine use in America?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา nvic.org. (17 พฤษภาคม 2564).
  4. "Meningococcal Disease" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา historyofvaccines.org. (22 พฤษภาคม 2564).
  5. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  6. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).