วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR Vaccine)

โรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน เกิดจากไวรัสต่างชนิดกัน ได้แก่ measles virus (rubeolavirus), mumps virus (rubulavirus) และ rubella virus ตามลำดับ ทั้งสามโรคนี้เป็นโรคไข้ออกผื่นที่แพร่ติดต่อทางการหายใจและการสัมผัสน้ำลายได้ง่าย มักมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอัตราสูงถึง 15-50%

โรคหัดเยอรมันผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิด เช่น หูหนวก ตาบอด หรือภาวะสมองพิการได้

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

วัคซีนทั้งสามชนิดถูกพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960s โดยทั้งหมดเป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์:

วัคซีนหัดเริ่มจากการเพาะเชื้อไวรัสหัดได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1954 โดย Dr. John F. Enders (เจ้าของรางวัลโนเบล) และทีมงาน ก่อนพัฒนาเป็นวัคซีนในปี ค.ศ. 1963 โดยมี Dr. Maurice R. Hilleman ร่วมพัฒนา ซึ่งเป็นนักวัคซีนวิทยาชั้นแนวหน้า ผู้พัฒนาวัคซีนมากกว่า 40 ชนิด

วัคซีนคางทูมเริ่มต้นจากการที่ลูกสาววัย 5 ขวบของ Dr. Hilleman ป่วยเป็นโรคนี้ เขาเก็บเชื้อจากลำคอลูกสาว (Jeryl Lynn) แล้วนำไปเพาะในห้องแล็บของบริษัท Merck พัฒนาจนได้สายพันธุ์วัคซีนที่ปลอดภัยและอ่อนฤทธิ์ในปี ค.ศ. 1967

วัคซีนหัดเยอรมันมีการพัฒนาสองสาย: ทีมจาก NIH นำโดย Dr. Harry M. Meyer Jr. ใช้สายพันธุ์ HPV-77 ที่อ่อนฤทธิ์ผ่านการเพาะในเซลล์ไตลิง 77 ครั้ง และเริ่มใช้งานในปี ค.ศ. 1969 อีกสายหนึ่งคือทีมของ Dr. Stanley Alan Plotkin จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย พัฒนาสายพันธุ์ RA 27/3 จากเซลล์ไตของตัวอ่อนแท้งในครรภ์ โดยใช้เวลาและความพยายามมากเพื่อให้วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จน CDC ประกาศให้ใช้ RA 27/3 แทน HPV-77 ในเวลาต่อมา

เนื่องจากวัคซีนทั้งสามมีลักษณะการฉีดและช่วงอายุที่ใกล้เคียงกัน Dr. Hilleman จึงรวมวัคซีนเข้าเป็นวัคซีน MMR ในปี ค.ศ. 1971 ส่งผลให้วัคซีนหัดเยอรมันแบบพ่นจมูกไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป



🏥   การใช้ในประเทศไทย

ไทยเริ่มใช้วัคซีนหัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 และเริ่มให้วัคซีน MMR แทนในปี พ.ศ. 2540 ตามแผนวัคซีนพื้นฐานแห่งชาติ โดยฉีดฟรีให้เด็กอายุ 9-12 เดือน และ 2 ปีครึ่ง

หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน ควรได้รับ MMR หรือ MR (Measles-Rubella) อย่างน้อย 1 ครั้ง และต้องฉีดก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน

บุคลากรทางการแพทย์ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนควรฉีดวัคซีน MMR หรือ MR โดยเร็วที่สุด

  ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด?

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงไม่ควรใช้ในผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้:

ไม่ควรให้วัคซีน MMR ใกล้กับช่วงที่ได้รับอิมมูโนโกลบูลินหรือผลิตภัณฑ์เลือด เพราะอาจมีแอนติบอดีที่ยับยั้งการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนได้ ภาพข้างต้นแสดงระยะเวลาที่ควรรอหลังจากได้รับผลิตภัณฑ์เหล่านี้

วัคซีน MMR ปัจจุบันเป็นวัคซีนแบบผงแห้ง (lyophilized) ที่ต้องผสมกับน้ำยาละลายก่อนฉีดใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีวัคซีน MMRV (รวมอีสุกอีใส) ฉีดตามช่วงเวลาเดียวกันคือ 9-12 เดือน และ 2 ปีครึ่ง

วัคซีนและน้ำยาละลายควรเก็บที่อุณหภูมิ 2-8°C หลีกเลี่ยงแสง วัคซีนผงสามารถแช่แข็งได้ แต่น้ำยาละลายห้ามแช่แข็งเพราะจะทำให้ขวดแตก หลังผสมน้ำยาต้องใช้ภายใน 6 ชั่วโมง โดยควรเก็บในตู้เย็นระหว่างรอใช้งาน



⏏   ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น

เมื่อได้รับวัคซีน MMR ครบ จะมีภูมิคุ้มกันต่อ:

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

  1. ไข้ (ร้อยละ 5) มักเกิดใน 5–12 วันหลังฉีด และหายภายใน 1–2 วัน เด็กบางรายอาจมีไข้สูงจนชักได้
  2. ผื่นคล้ายหัด (ร้อยละ 5) มักเกิดใน 7–10 วัน และหายไปเองใน 1–2 วัน
  3. ต่อมน้ำเหลืองโต พบได้น้อย
  4. ต่อมน้ำลายอักเสบ (parotitis) พบได้น้อย
  5. อัณฑะอักเสบ (orchitis) พบในผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนสายพันธุ์ L-Zagreb
  6. แพ้แบบลมพิษหรือบวมแดงบริเวณฉีด พบได้น้อย การแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis พบได้น้อยกว่า 1 ต่อ 1 ล้านโด๊ส
  7. เกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) พบในช่วง 2 เดือนหลังฉีด อุบัติการณ์ 1 ใน 100,000 ราย
  8. ปวดข้อ ข้ออักเสบ พบได้ร้อยละ 0.5 ในเด็ก และถึงร้อยละ 25 ในผู้หญิงผู้ใหญ่ อาการมักเกิดใน 1–3 สัปดาห์หลังฉีด

ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่อาจพบ ได้แก่:

  1. Aseptic meningitis พบในวัคซีน MMR ที่ใช้สายพันธุ์ Urabe แต่อุบัติการณ์ต่ำมากในวัคซีนที่ใช้สายพันธุ์ Jeryl-Lynn (1 ในล้านโด๊ส)
  2. Encephalopathy / encephalitis พบได้ประมาณ 6–15 วันหลังฉีด อัตราการเกิด 1 ต่อ 2 ล้านโด๊ส

📌   สรุป

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมที่ป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประวัติการพัฒนายาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 1960s ใช้ในไทยอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ปี 2540 มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันสูง แม้อาจมีผลข้างเคียงบางประการ แต่โดยรวมถือว่าปลอดภัยและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการป้องกันโรคระบาดที่มีผลกระทบรุนแรงในเด็กและผู้ใหญ่


บรรณานุกรม

  1. "MMR vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (27 เมษายน 2564).
  2. Jan Hendriks and Stuart Blume. 2013. "Measles Vaccination Before the Measles-Mumps-Rubella Vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am J Public Health. 2013;103(8):1393–1401. (27 เมษายน 2564).
  3. Dave Roos. 2020. "How a New Vaccine Was Developed in Record Time in the 1960s." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา History.Com. (27 เมษายน 2564).
  4. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  5. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).