วัคซีนพีซีวี (Pneumococcal Vaccine, PCV)
เชื้อนิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae) เป็นแบคทีเรียทรงกลมแกรมบวกที่มีแคปซูลหุ้ม มักอยู่เป็นคู่คล้ายเมล็ดถั่วในฝัก และอาศัยอยู่ในคอหอยของคนเราเป็นปกติ เชื้อนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881 ปัจจุบันมีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ แต่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่ก่อโรคในคนไทย เช่น สายพันธุ์ 6B, 23F, 14, 19F, 6A, และ 19A
เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อนิวโมคอคคัสสามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไปจนถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด สิ่งที่น่ากังวลคือ ในระยะหลังพบว่าเชื้อนี้เริ่มดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่ม Penicillins และ Cephalosporins มากขึ้น โดยเฉพาะสายพันธุ์ 19A
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
การพัฒนาวัคซีนเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911 โดย Sir Almroth Wright นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งได้พัฒนาและทดลองวัคซีนชนิด heat-killed ในแอฟริกาใต้ แต่ยังไม่สำเร็จ เวลาเดียวกัน Sir Frederick Spencer Lister พบว่าแอนติเจนของเชื้อแต่ละสายพันธุ์ตอบสนองภูมิไม่เพียงพอ การพัฒนาวัคซีนชะลอลงเมื่อ Alexander Fleming ค้นพบยาปฏิชีวนะเพนิซิลลินในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งมีประสิทธิภาพมากในช่วงแรก จนกระทั่งเชื้อเริ่มดื้อยา ความสนใจในวัคซีนจึงกลับมาอีกครั้ง
อุปสรรคสำคัญในการพัฒนาวัคซีนมี 2 ประการ คือ (1) การคัดเลือกสายพันธุ์ให้ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคในแต่ละพื้นที่ เช่น ในไทยมีปัญหากับสายพันธุ์ 19A ซึ่งไม่ถูกรวมอยู่ในวัคซีนบางรุ่น และ (2) ความสามารถของวัคซีนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งระบบ T-cell ยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงต้องใช้เทคโนโลยี "conjugate vaccine" ที่เชื่อมโพลีแซคคาไรด์เข้ากับโปรตีนพาหะ
วัคซีนรุ่นแรกในปี ค.ศ. 1977 เป็นโพลีแซคคาไรด์วัคซีนครอบคลุม 7 สายพันธุ์ ต่อมาขยายเป็น 14 และ 23 สายพันธุ์ในปี ค.ศ. 1983 แต่ยังใช้ไม่ได้ดีในเด็กเล็ก จึงมีการพัฒนา "คอนจูเกตวัคซีน" รุ่นแรกในปี ค.ศ. 2000 ครอบคลุม 7 สายพันธุ์ และขยายเป็น 13 สายพันธุ์ในปี ค.ศ. 2010 รุ่นล่าสุดเพิ่มสายพันธุ์ 18C และปรับพาหะโปรตีน แต่ตัดสายพันธุ์ 3, 6B และ 19A ออก
🏥 การใช้ในประเทศไทย
วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมี 3 ชนิด ได้แก่:
- PPSV23 (Pneumovax 23®) เป็นโพลีแซคคาไรด์วัคซีน มีแอนติเจนของ 23 สายพันธุ์ (ได้แก่ 1, 2, 3, 4, 5, 6B, 7F, 8, 9N, 9V, 10A, 11A, 12F, 14, 15B, 17F, 18C, 19A, 19F, 20, 22F, 23F และ 33F) ผลิตโดยบริษัท Sanofi Pasteur ใช้ในผู้มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เหมาะกับกลุ่มเสี่ยง เพราะไม่กระตุ้นภูมิในเด็กเล็ก
- PCV13 (Prevnar13®) เป็นคอนจูเกตวัคซีน รวมแอนติเจนของ 13 สายพันธุ์ (ได้แก่ 4, 6A, 6B, 9V, 14, 18C, 19A, 19F, 23F, 1, 3, 5, และ 7F ) โดยเชื่อมกับ Diphtheria toxin CRM197 เหมาะสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
- PCV10 (Synflorix®) เป็นคอนจูเกตวัคซีน ครอบคลุม 10 สายพันธุ์ โดยใช้โปรตีนพาหะจาก NTHi, toxoid ของบาดทะยัก และคอตีบ ไม่มีสายพันธุ์ 3, 6B และ 19A จึงราคาถูกกว่า PCV13
วัคซีนทั้งหมดเป็นแบบน้ำ ฉีดเข้ากล้ามหรือใต้ผิวหนัง ยังไม่รวมในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ ต้องชำระเงินเอง ยกเว้นกรณีที่มีการจัดรณรงค์ให้บริการฟรีในบางพื้นที่
👤 กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีด
- เด็กอายุ 6 สัปดาห์ถึง 5 ปี
- ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิ
- ผู้ไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานผิดปกติ
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิด, ปอดเรื้อรัง, เบาหวาน, ไตวาย, ตับแข็ง, มะเร็ง
- ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
💉 วิธีฉีดตามอายุที่แนะนำ
* ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ให้ใช้เฉพาะคอนจูเกตวัคซีน (PCV)
อายุที่เริ่มฉีด | จำนวนครั้งที่ฉีด |
2-6 เดือน | PCV 3 เข็ม ทุก 6-8 สัปดาห์ + เข็มกระตุ้นเมื่ออายุ 12-15 เดือน |
7-11 เดือน | PCV 2 เข็ม + เข็มกระตุ้นที่อายุ 12-15 เดือน |
12-23 เดือน | PCV 2 เข็ม ห่างกัน 6-8 สัปดาห์ |
2-5 ปี | PCV10 2 เข็ม หรือ PCV13 1 เข็ม |
2-5 ปี (กลุ่มเสี่ยง) | PCV10 2 เข็ม + PPSV23 อีก 2 เข็ม (ห่าง 8 สัปดาห์และ 5 ปี) |
2-6 ปี (กลุ่มเสี่ยง) | PCV13 2 เข็ม + PPSV23 อีก 2 เข็ม |
7-18 ปี (กลุ่มเสี่ยง) | PCV13 1 เข็ม + PPSV23 อีก 2 เข็ม |
19-64 ปี (กลุ่มเสี่ยง) | PCV13 1 เข็ม หรือ PPSV23 2 เข็ม ห่างกัน 5 ปี |
≥ 65 ปี | PCV13 หรือ PPSV23 1 เข็ม |
* ไม่ควรฉีด PCV10 กับ PCV13 สลับกัน หากเปลี่ยนชนิดควรปรึกษาแพทย์
** ยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
วัคซีนต้องเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 2–8°C ห้ามแช่แข็ง
⏏ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น
PPSV23 ให้ภูมิครอบคลุมได้ 85–90% ในเด็กโตและผู้ใหญ่ แต่ไม่กระตุ้นภูมิในเด็กต่ำกว่า 2 ปี และไม่เหมาะกับการป้องกันการติดเชื้อหูชั้นกลางและไซนัส
PCV10 และ PCV13 ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า 90% สำหรับสายพันธุ์ที่ครอบคลุม และสามารถสร้าง herd immunity ได้
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
PPSV23 ปลอดภัยโดยทั่วไป พบอาการปวด บวม แดงที่ตำแหน่งฉีดในราว 50% อาการอื่น เช่น ไข้ หรือปวดกล้ามเนื้อพบได้น้อย (<1%) เด็กอาจมีอาการบวมแดงเฉพาะที่แบบ Arthus-like หากฉีดซ้ำในช่วงเวลาใกล้กัน จึงแนะนำให้ฉีดห่างกันอย่างน้อย 5 ปี
PCV10 และ PCV13 อาการข้างเคียงคล้ายกัน เช่น ปวด (48%), บวม (35%), แดง (46%) ไข้ (37%) และไข้สูงเกิน 39°C เพียง 5% เด็กอาจมีอาการหงุดหงิด (70%) แต่ผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อย
📌 สรุป
วัคซีนพีซีวีมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยง การเลือกใช้วัคซีนควรพิจารณาจากอายุ สายพันธุ์ที่ครอบคลุม และสถานะทางสุขภาพของผู้รับวัคซีน ปัจจุบันวัคซีนยังไม่อยู่ในแผนของรัฐ แต่สามารถรับบริการได้ตามโรงพยาบาลโดยชำระเงินเอง การให้วัคซีนอย่างถูกต้องสามารถลดอัตราป่วยและตายจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเชื้อนิวโมคอคคัสได้อย่างมีนัยสำคัญ
บรรณานุกรม
- "Pneumococcal Disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (14 พฤษภาคม 2564).
- "Pneumococcal vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (14 พฤษภาคม 2564).
- "What is the history of Pneumococcal vaccine use in America?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา nvic.org. (14 พฤษภาคม 2564).
- Robert Austrian. 1999. "A Brief History of
Pneumococcal Vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Drugs & Aging. 1999;15( Suppl. 1):1-10. (14 พฤษภาคม 2564).
- J.D. Grabenstein, et al. 2012. "A century of pneumococcal vaccination research in humans." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clinical Microbiology & Infection. 2012;18(Suppl. 5):15–24. (14 พฤษภาคม 2564).
- "Ask the Experts: Pneumococcal Vaccines (PCV13 and PPSV23)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Immunize.Org. (16 พฤษภาคม 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
- "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).