วัคซีนอหิวาตกโรค (Cholera Vaccine)

อหิวาตกโรคเกิดจากสารพิษของเชื้อแบคทีเรีย *Vibrio cholerae* ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบ รูปร่างคล้ายแท่งโค้ง เคลื่อนที่ด้วยหางที่ปลายด้านหนึ่ง สามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยตามธรรมชาติ เจริญเติบโตในแพลงตอนและสัตว์ทะเลที่มีเปลือกแข็ง หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เชื้อจะปรับตัวโดยเปลี่ยนรูปร่างเป็นทรงกลม หยุดการแบ่งตัว และสร้าง biofilm ทำให้สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เชื้อเข้าสู่ร่างกายคนผ่านทางอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน

ในศตวรรษที่ 19 มีการระบาดใหญ่ของโรคนี้หลายครั้งทั่วโลก เมื่อทราบว่าโรคนี้แพร่ผ่านน้ำและอาหาร จึงมีการพัฒนาระบบสุขาภิบาลและน้ำประปา ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงมาก อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย โรคนี้ยังคงจัดอยู่ในกลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันทีเมื่อพบผู้ป่วย

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

หลังจากที่มีการศึกษาเชื้อ *Vibrio cholerae* อย่างละเอียด หลายประเทศ เช่น สเปน รัสเซีย และญี่ปุ่น ได้เริ่มพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรคในรูปแบบฉีด แต่ในช่วงแรกยังมีข้อจำกัดทั้งด้านประสิทธิภาพและระยะเวลาของภูมิคุ้มกัน รวมถึงผลข้างเคียงที่สูง องค์การอนามัยโลกจึงไม่แนะนำให้ใช้

ต่อมามีการพัฒนาวัคซีนชนิดกิน โดยเริ่มจากวัคซีนเชื้อตาย (heat-killed oral cholera vaccine) ซึ่งป้องกันได้เฉพาะ Serogroup O1 แต่เมื่อผสมกับ recombinant cholera toxin B subunit ทำให้สามารถป้องกัน *E. coli* ที่สร้าง enterotoxin (ETEC) ได้ด้วย มีประสิทธิภาพประมาณ 66–86% ภูมิอยู่ได้นานราว 2 ปี วัคซีนกลุ่มนี้ได้แก่ Dukoral® (WC-rBS) และ Oravacs® ซึ่งได้รับการจดทะเบียนในมากกว่า 60 ประเทศ

จากนั้นมีการพัฒนาวัคซีนชนิดกินเชื้อตายอีกกลุ่มที่ป้องกันได้ทั้ง Serogroup O1 และ O139 แต่ไม่มี B subunit จึงมีต้นทุนต่ำกว่า แต่ไม่สามารถป้องกัน ETEC ได้ วัคซีนกลุ่มนี้ ได้แก่ Shanchol® และ mORC-Vax® มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Dukoral® และใช้กันแพร่หลายในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น อินเดียและเวียดนาม

อีกกลุ่มหนึ่งคือวัคซีนชนิดกินแบบเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ในช่วงแรกมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง ไข้ คลื่นไส้และอาเจียนในผู้รับวัคซีนเกือบครึ่งหนึ่ง จึงยกเลิกการใช้ แต่ปัจจุบันมีวัคซีนที่พัฒนาจนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงถึง 90% คือ Vaxchora® ซึ่งรับประทานเพียง 1 โด๊สเท่านั้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) รับรองเฉพาะวัคซีนชนิดกินแบบเชื้อตายและเชื้อเป็นเท่านั้น แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นวัคซีนก่อนเดินทางเข้า-ออกประเทศทั่วไป เพราะโรคนี้พบได้น้อย และรักษาได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะร่วมกับการให้สารละลายเกลือแร่ โดยแนะนำให้ใช้เฉพาะในกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงร่วมกับมาตรการควบคุมโรคอื่น ๆ



🏥   การใช้ในประเทศไทย

ในประเทศไทย วัคซีนอหิวาตกโรคอยู่ใน "รายการวัคซีนสำรอง" สำหรับควบคุมการระบาดเฉพาะพื้นที่ โดยใช้เฉพาะเมื่อมีการระบาดเกิดขึ้น หรือให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีสุขาภิบาลไม่ดี เช่น พื้นที่น้ำท่วม หรือชุมชนแออัด วัคซีนยังไม่ใช้ในประชาชนทั่วไป เพราะยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

💧   วิธีรับประทานวัคซีน

Monovalent killed – with B subunit

Bivalent killed

Monovalent live attenuated

จะเห็นว่าวัคซีนชนิดเชื้อเป็นแบบดื่มครั้งเดียวใช้งานง่ายที่สุด แต่ไม่สามารถใช้ในเด็กเล็กได้

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

อาจมีอาการเช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หรือเบื่ออาหาร โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 7 วัน อาการแพ้รุนแรงพบได้น้อยมาก

📌   สรุป

  • วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคใช้เฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการระบาด ไม่แนะนำให้ใช้ในคนทั่วไปที่เดินทาง
  • องค์การอนามัยโลกรับรองเฉพาะวัคซีนชนิดกิน ผลข้างเคียงพบได้บ้าง แต่ไม่รุนแรง
  • การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขอนามัยของอาหารและน้ำดื่มในชีวิตประจำวัน

บรรณานุกรม

  1. Will Sowards. 2017. "History of the Cholera Vaccine ." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา PassportHealth. (29 พฤษภาคม 2564).
  2. "Who first discovered Vibrio cholera?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา UCLA. (29 พฤษภาคม 2564).
  3. "Cholera vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (29 พฤษภาคม 2564).
  4. Anna Lena Lopez, et al. 2014. "Killed oral cholera vaccines: history, development and implementation challenges." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Ther Adv Vaccines. 2014;2(5):123–136. (29 พฤษภาคม 2564).
  5. "Cholera." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา historyofvaccines.org. (29 พฤษภาคม 2564).