วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล โดยฮิปโปเครติสได้บรรยายไว้ในหนังสือ 'Book of Epidemics' แม้ดูเหมือนว่าโรคนี้ไม่รุนแรง แต่เมื่อเกิดการระบาดจะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เช่น ในช่วงการระบาดของ Spanish Flu, Asian Flu และ Hong Kong Flu ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมกัน

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza) มีโฮสต์ที่เป็นแหล่งพักพิงของเชื้อ โดยไม่ก่อโรคต่อโฮสต์เอง และสามารถแพร่กระจายกลับสู่ธรรมชาติได้ โฮสต์เหล่านี้เรียกว่า "reservoir host" ได้แก่ นก เป็ด ไก่ สุกร สุนัข แมว วัว ควาย แพะ แกะ ม้า เสือ อูฐ แมวน้ำ ปลาวาฬ เป็นต้น

ไวรัสที่ก่อโรคในคนมี 3 ชนิดหลัก คือ Influenza A, B และ C โดย A และ B มีโปรตีน hemagglutinin (HA) และ neuraminidase (NA) บนผิวไวรัส ส่วนชนิด C มีเพียงโปรตีน HEF จึงก่อโรคได้ไม่รุนแรง

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่เสมอใน 2 รูปแบบ:

  • Antigenic drift: การกลายพันธุ์เล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภูมิคุ้มกันเดิมไม่สามารถป้องกันได้ และทำให้เกิดการระบาดย่อยทุก 1–3 ปี จึงต้องเปลี่ยนวัคซีนใหม่ทุกปี
  • Antigenic shift: การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของ H หรือ N antigen ซึ่งพบเฉพาะใน Influenza A เท่านั้น มักเกิดห่างกันเกิน 10 ปี และก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก


📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

วัคซีนไข้หวัดใหญ่เริ่มต้นจากวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live-attenuated vaccine) ในปี ค.ศ. 1938 โดย Smorodintseff แห่งสถาบันปาสเตอร์ ประเทศรัสเซีย ซึ่งพัฒนาเชื้อให้ลดความรุนแรงโดยผ่านไข่ไก่ 30 ครั้ง แต่มีปัญหาภูมิแพ้โปรตีนไข่และความเสี่ยงที่เชื้ออ่อนแรงจะกลับมาก่อโรคได้

ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) โดยเพาะเชื้อในน้ำคร่ำลูกไก่แล้วฆ่าด้วยฟอร์มาลิน เริ่มจากวัคซีน monovalent A ต่อมาปี ค.ศ. 1942 ได้เพิ่ม Influenza B เป็นวัคซีน bivalent และในปี ค.ศ. 1957 ได้พัฒนาเป็นวัคซีน trivalent (A สองสายพันธุ์ + B หนึ่งสายพันธุ์)

ปัจจุบันมีการใช้วัคซีน quadrivalent (4 สายพันธุ์) ซึ่งครอบคลุม Influenza B ทั้งสองสายพันธุ์

วัคซีนมีการพัฒนาให้ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อยลง เช่น การใช้ split virion หรือเฉพาะโปรตีนผิว (HA และ NA) เช่นในวัคซีน Agrippal®, Influvac®, Inflexal V®, Fluad®, และ Intanza®

ยังมีวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี recombinant ซึ่งไม่ต้องใช้การเพาะเชื้อในไข่เลย จึงลดการกลายพันธุ์และปนเปื้อนโปรตีนจากไข่ ทำให้มีประสิทธิผลดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีวัคซีนชนิดพ่นจมูก (live-attenuated nasal spray) ใช้ได้เฉพาะในผู้ที่มีสุขภาพดี อายุ 2–49 ปี ห้ามใช้ในเด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิคุ้มกันเกิดหลัง 4–6 สัปดาห์ และอยู่นาน 1–2 ปีในเลือด และ 30 เดือนในเยื่อเมือก

✔️   การคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อผลิตวัคซีน

องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งศูนย์เฝ้าระวังใน 106 ประเทศทั่วโลก เพื่อแยกเชื้อจากผู้ป่วยและส่งต่อไปยังห้องปฏิบัติการหลักในสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยจะประชุมปีละ 2 ครั้ง เพื่อเลือกสายพันธุ์สำหรับวัคซีนในซีกโลกเหนือ (กุมภาพันธ์) และซีกโลกใต้ (กันยายน) กระบวนการผลิตใช้เวลาราว 6 เดือน

ในประเทศไทย สายพันธุ์ที่ได้รับเลือกตรงกับเชื้อที่พบจริงประมาณ 70%



🏥   การใช้ในประเทศไทย

ประเทศไทยพบเชื้อ Influenza A ประมาณ ¾ และ B ประมาณ ¼ ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป (รวมทั้งผู้ใหญ่) รับวัคซีน 2 เข็มห่างกัน 1 เดือน และกระตุ้นทุกปี วัคซีนนี้ควรฉีดให้กับ:

  1. ผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
    • เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี
    • ผู้สูงอายุ ≥ 65 ปี
    • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (ปอด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไต เบาหวาน ธาลัสซีเมีย)
    • ผู้พักในสถานบริบาล
    • ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือใช้ยากดภูมิ
    • เด็กที่ใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำ (เสี่ยงต่อการเกิด Reye syndrome เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่)
    • หญิงตั้งครรภ์ที่ไตรมาส 2 ขึ้นไป
    • คนอ้วนมาก (BMI > 35)
  2. ผู้ที่อาจแพร่เชื้อให้กลุ่มเสี่ยง เช่น
    • บุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษาแพทย์
    • เจ้าหน้าที่กำจัดสัตว์ปีก
    • ผู้ดูแลผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก
    • ผู้ที่อาศัยร่วมกับกลุ่มเสี่ยง
  3. กลุ่มอื่น ๆ ได้แก่
    • นักเดินทาง
    • ผู้ที่ต้องพบเจอคนจำนวนมาก
    • ผู้ที่ต้องการลดโอกาสป่วยจากไข้หวัดใหญ่

ปัจจุบันวัคซีนผลิตได้แล้วในประเทศไทย โดยองค์การเภสัชกรรม มีให้บริการฟรีทุกปีในช่วงเมษายน–สิงหาคม สามารถฉีดร่วมกับวัคซีนอื่นได้ ยกเว้นในช่วงที่ป่วยเฉียบพลัน เช่น มีไข้

⏏   ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น

วัคซีนเชื้อตาย: ภูมิคุ้มกันเกิดภายใน 7–14 วัน อยู่ได้นานไม่เกิน 1 ปี มีประสิทธิภาพ 70–90% หากเชื้อตรงสายพันธุ์ แต่ลดความรุนแรงได้แม้เชื้อเปลี่ยนสายพันธุ์

วัคซีนเชื้อเป็น: ประสิทธิภาพ 70–95% แต่ลดลงกับสายพันธุ์ H1N1 pdm09 และไม่ได้รับคำแนะนำให้ใช้ในสหรัฐฯ

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดนก (Avian flu) ได้

วัคซีนต้องเก็บที่ 2–8°C ห้ามแช่แข็ง และหลีกเลี่ยงแสง อายุไม่เกิน 1 ปี

⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

  • วัคซีนเชื้อตาย: ปวดบริเวณฉีด (ไม่เกิน 2 วัน), มีไข้ ปวดเมื่อย พบ 4–11%, อาจแพ้วัคซีน เช่น ลมพิษ ปากบวม หอบหืด (พบน้อยมาก)
  • วัคซีน Fluad® ที่มี adjuvant อาจมีอาการเฉพาะที่มากกว่าวัคซีนทั่วไป
  • วัคซีน Intanza® ฉีดเข้าในผิวหนัง (intradermal) อาการทั่วไปน้อย แต่คันและเจ็บนานขึ้น
  • วัคซีนเชื้อเป็น: อาจมีไข้ต่ำ คัดจมูก น้ำมูกไหล ผื่น ลมพิษ หรือหลอดลมตีบ (พบน้อย)

📌   สรุป

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่อาจรุนแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงต่อเนื่อง เพื่อให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อที่กลายพันธุ์ วัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นที่นิยมมากที่สุด และควรได้รับทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง การได้รับวัคซีนยังช่วยลดความรุนแรงของโรค แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% ก็ตาม


บรรณานุกรม

  1. "Influenza Historic Timeline." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (6 พฤษภาคม 2564).
  2. I. Barberis, et al. 2016. "History and evolution of influenza control through vaccination: from the first monovalent vaccine to universal vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Prev Med Hyg. 2016;57(3):E115–E120. (6 พฤษภาคม 2564).
  3. Claude Hannoun. 2013. "The Evolving History of Influenza Viruses and Influenza Vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Expert Rev Vaccines. 2013;12(9):1085-1094. (6 พฤษภาคม 2564).
  4. "Influenza." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา historyofvaccines.org. (6 พฤษภาคม 2564).
  5. "What is the History of Influenza Vaccine Use in America?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา nvic.org (6 พฤษภาคม 2564).
  6. "Influenza vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (6 พฤษภาคม 2564).
  7. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  8. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).