วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (Polio Vaccine)
เชื้อโปลิโอเป็นไวรัสชนิด single-stranded RNA ไม่มีเปลือกหุ้ม จัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่ 1 อาการน้อย ไม่ทำให้เป็นอัมพาต สายพันธุ์ที่ 2 ทำให้เกิดอัมพาตของแขนหรือขา สายพันธุ์ที่ 3 ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงในระดับ bulbar ซึ่งทำให้หายใจไม่ได้ ปัจจุบันสายพันธุ์ที่ 2 และ 3 ได้หายไปจากโลกแล้ว เหลือเพียงสายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งก็พบน้อยลงไปมาก นี่เป็นผลมาจากการใช้วัคซีนโปลิโอตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955
ในอดีตช่วงก่อนที่จะมีวัคซีน มีเด็กป่วยเป็นโรคโปลิโอ > 350,000 ราย/ปี ใน 125 ประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เชื้อโปลิโออาศัยอยู่ในลำไส้ของคน และถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระ เด็กติดโรคจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ มากกว่า 95% ไม่แสดงอาการ ฉะนั้นหากพบเด็กป่วยเป็นโปลิโอ 1 ราย แสดงว่าอาจมีเด็กอีกร้อยกว่ารายได้รับเชื้อและสามารถแพร่เชื้อทางอุจจาระได้นานหลายสัปดาห์
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอถูกคิดค้นโดยนายแพทย์ 2 ท่าน คือ กุมารแพทย์ Albert Bruce Sabin และนายแพทย์ Jonas Edward Salk วัคซีนตัวแรกทำมาจากเชื้อโปลิโอที่ตายแล้วของทั้งสามสายพันธุ์ เป็นวัคซีนชนิดฉีด ด้วยนายแพทย์ซอล์กพบว่า ไวรัสโปลิโอแม้จะถูกนายแพทย์ซาบินทำจนอ่อนฤทธิ์ลงสักเท่าใดก็มีโอกาสกลับฟื้นมาก่อโรคได้อีก แต่แนวทางของซอล์กถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะในขณะนั้นยังเชื่อว่าวัคซีนที่ดีต้องเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ (เข้าทางปาก) และเป็นวัคซีนเชื้อเป็นแต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะที่บริเวณเยื่อบุลำคอและลำไส้อย่างรวดเร็ว ซอล์กถูกกล่าวหาว่าเร่งทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เขาต้องลอบทำการทดลองอย่างลับ ๆ เมื่อได้ผลขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ เขาและทีมงานจึงทำการทดลองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยเริ่มฉีดให้เด็กอเมริกันตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1954 ซึ่งสุดท้ายมีเด็กเข้าร่วมการทดลองทั้งสิ้นกว่า 1.5 ล้านคน การทดลองครั้งนั้นได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก วัคซีนของเขาสามารถป้องกันการเกิดโรคโปลิโอได้ถึง 80-90% ในปีถัดมาจึงมีการเร่งผลิตวัคซีนของซอล์กเพื่อแจกจ่ายไปทั่วสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันนายแพทย์ซาบินมองว่า วัคซีนของซอล์กไม่ดีพอ ด้วยเหตุผลสำคัญสามประการคือ หนึ่ง เชื้อไวรัสโปลิโอสายพันธุ์หนึ่งที่ชื่อ Mahoney เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายและฆ่าได้ยาก สอง เชื้อที่ตายแล้วทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานแค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาตลอดชีวิต และสาม แม้วัคซีนของซอล์กจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ แต่ก็ต้องฉีดถึงสามโดส และต้องฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งในภายหลัง ขณะที่การใช้วัคซีนแบบเชื้อเป็นของเขาใช้ปริมาณที่น้อย สามารถให้ได้ทางปากและยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิต
นายแพทย์ซาบินยังคงทดลองวัคซีนแบบเชื้อเป็นแต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ของเขาต่อ แต่เนื่องจากความนิยมวัคซีนของซอล์กตอนนั้นมีทั่วทั้งสหรัฐฯ เขาจึงต้องทดลองวัคซีนของเขาในต่างประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม คองโก และรัสเซีย จนสำเร็จในปี ค.ศ. 1962 ด้วยความที่เป็นวัคซีนแบบกิน มีราคาถูกกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า และสามารถแจกจ่ายให้เด็กได้ง่ายกว่า เพราะหยอดใส่ทางปาก วัคซีนของซาบินจึงถูกใช้กันทั่วโลกตั้งแต่นั้น
อุบัติการณ์การเกิดโรคโปลิโอในปัจจุบันลดลงอย่างมาก ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่พบผู้ป่วยใหม่อีกเลยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ประเทศไทยก็ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557 ว่าเป็นประเทศที่ปลอดโรคโปลิโอแล้ว
ที่สำคัญ ทั้งนายแพทย์ซอล์กและซาบินมิได้จดลิขสิทธิ์วัคซีนของตนเอง แต่ยอมให้นานาประเทศนำไปผลิตใช้กันอย่างเสรี พระคุณของท่านจึงยังเป็นที่จดจำอยู่ถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่โรคโปลิโอระบาดในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2495 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นผู้นำในการต่อต้านโปลิโอในไทย โดยได้ทรงก่อตั้งกองทุน “โปลิโอสงเคราะห์” เพื่อสงเคราะห์ผู้ป่วยและวิจัยโรคนี้ ต่อมายังทรงริเริ่มโครงการ “วชิราลงกรณ์ธาราบำบัด” ขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อีกทั้งยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งสถานรักษาพยาบาลผู้ป่วยโปลิโออีกแห่งหนึ่งในโรงพยาบาลศิริราช
การให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแก่เด็กไทยทุกคนในช่วงแรกยังใช้วัคซีนชนิดกิน (Oral polio vaccine, OPV) เหมือนนานาประเทศ จนเมื่ออุบัติการณ์ของโรคลดลงมาก การให้วัคซีนทางปาก (แม้จะเป็นเชื้อตาย) ก็อาจมีเชื้อกลับฟื้นและออกมากับอุจจาระ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการก่อโรคที่ใกล้จะสาบสูญขึ้นมาอีกทางวัคซีน หลายประเทศจึงหันมาส่งเสริมการใช้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีดกันมากขึ้นรวมทั้งประเทศไทย
ส่วนประกอบของวัคซีนในปัจจุบัน
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน (Oral polio vaccine, OPV) ได้จากการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสโปลิโอในเซลล์ไตของลิงจำนวน 5 เซลล์ ในแต่ละโด๊สของวัคซีนประกอบด้วยเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 1 ที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ไม่น้อยกว่า 1,000,000 TCID50 และเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 3 ที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ไม่น้อยกว่า 600,000 TCID50 (ไม่มีสายพันธุ์ที่ 2 เพราะไม่พบในธรรมชาติมาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999) นอกจากนี้ยังมียาปฏิชีวนะ Streptomycin และ Neomycin ในปริมาณเล็กน้อย (< 25 ไมโครกรัม)
TCID50 = Median Tissue Culture Infectious Dose
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (Inactivated polio vaccine, IPV) ได้จากการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสโปลิโอในเซลล์ไตของลิงจำนวน 5 เซลล์ แล้วทำให้ตายด้วยความร้อนกับ formaldehyde มี aluminium hydroxide เป็นตัวเสริม ในแต่ละโด๊สของวัคซีนประกอบด้วยเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 1 ที่ตายแล้ว 40 D antigen units, เชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 2 ที่ตายแล้ว 8 D antigen units, เชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 3 ที่ตายแล้ว 32 D antigen units นอกจากนี้ยังมี Phenoxyethanol, Streptomycin, Neomycin และ Polymyxin-B ในปริมาณเล็กน้อย
D antigen units เป็นหน่วยวัดจำนวนไวรัสโปลิโอ
ขนาด วิธีใช้ และการเก็บรักษา
ปัจจุบันประเทศไทย มีวัคซีนใช้ทั้ง 2 แบบ แต่วัคซีนหลักยังคงเป็น OPV และให้ IPV เพียง 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน ร่วมกับ OPV
วัคซีน OPV ให้โดยการรับประทาน ครั้งละ 0.1-0.5 มล. (2-3 หยด แล้วแต่บริษัทผู้ผลิต) ควรระวังมิให้ขอบปากเด็กสัมผัสกับหลอดหยดหรือภาชนะบรรจุ เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนแพร่เชื้อ จากเด็กคนหนึ่งไปสู่เด็กอีกคนหนึ่งได้ และห้ามให้ในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ตามตารางวัคซีนในเด็กไทย จะให้ OPV เมื่ออายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี (ที่ต้องให้หลายครั้งเพราะเชื้อ enterovirus ชนิดอื่นที่มีอยู่มากมายในลำไส้ อาจขัดขวางเชื้อโปลิโอจากวัคซีนที่อ่อนแรงและมีปริมาณน้อย อีกทั้งยังอาจถูกรบกวนโดยแอนติบอดีย์ ในน้ำนมของมารดา)
เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนในขวบปีแรก จะให้ OPV 3 ครั้ง ทุก 2 เดือน และครั้งที่ 4 อีก 6 เดือน ถึง 1 ปีถัดมา แล้วกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี (เว้นแต่ว่าได้รับครั้งที่ 4 เมื่ออายุ > 4 ปี)
เด็กที่อายุมากกว่า 6 ปี แต่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโปลิโอมาก่อน จะให้ OPV เพียง 3 ครั้ง ในเดือนที่ 0, 2 และ 12
วัคซีน OPV เป็นเชื้อมีชีวิตที่ไวต่ออุณหภูมิสูง จะต้องเก็บในระบบลูกโซ่ความเย็น
- ถ้าเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า -20°C จะหมดอายุภายใน 2 ปี
- ถ้าเก็บที่อุณหภูมิ -20 ถึง 0°C จะหมดอายุภายใน 1 ปี
- ถ้าเก็บที่อุณหภูมิ +2 ถึง +8°C จะหมดอายุภายใน 90 วัน
วัคซีนควรมีสีชมพูอ่อน ถ้ายังไม่ได้เปิดใช้ ให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็ง อุณหภูมิต่ำกว่า - 15°C ถ้าเปิดใช้แล้ว ให้ใช้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังเปิดขวดวัคซีน โดยเก็บไว้ในระบบลูกโซ่ความเย็นตลอดเวลา เหลือจากนั้นต้องทิ้งไป
** ขวดวัคซีนที่ใช้แล้วต้องต้ม (100°C) หรือฆ่าเชื้อก่อนทิ้ง
วัคซีน IPV ให้โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทั้งชนิดเดี่ยวและชนิดรวมกับวัคซีนอื่น สามารถให้ในเด็กทุกคน
ตามตารางวัคซีนในเด็กไทย จะให้ IPV ร่วมกับ OPV เมื่ออายุ 4 เดือน (หากเป็นไปได้ควรให้ร่วมกันด้วยที่อายุ 2 เดือน)
ในเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจะใช้ IPV เป็นหลัก คือ ฉีดเมื่ออายุ 2 และ 4 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6-18 เดือน
และให้ซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี
แต่ถ้าใช้วัคซีนรวม IPV+DTP ก็จะให้ 5 ครั้งเหมือนวัคซีน DTP ที่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน แล้วกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี (เสมือนใช้ IPV แทน OPV)
ข้อดีของวัคซีน IPV คือ
- ไม่ทำให้เกิดอัมพาตจากวัคซีน (OPV ทำให้เกิดได้ แต่น้อยมาก)
- ภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นดีหลังจากได้วัคซีนเพียง 2 เข็ม
- ไม่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโปลิโอ
ข้อเสียคือ
- วัคซีนยังมีราคาแพง
- ภูมิคุ้มกันเกิดช้ากว่า OPV ประมาณ 2 สัปดาห์ ดังนั้น หากได้รับเชื้อตามธรรมชาติในช่วงนี้แม้ไม่มีอาการก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
- และภูมิต้านทานเฉพาะที่ ที่ผนังลำไส้เกิดขึ้นน้อย
วัคซีน IPV ให้เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8°C เหมือนวัคซีนแบบน้ำอื่น ๆ ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง
ปฏิกิริยาจากการให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
วัคซีน OPV อาจทำให้อัมพาตของแขนขาเหมือนเกิดโรคโปลิโอ (Vaccine associated paralytic poliomyelitis, VAPP) ในเด็กปกติที่ได้รับวัคซีน OPV ครั้งแรก พบประมาณ 1 ใน 1.4 ล้านโด๊ส ส่วนคนในบ้านที่สัมผัสกับเด็กที่กินวัคซีนครั้งแรกจะเกิดอัมพาตประมาณ 1 ใน 2.2 ล้านโด๊ส และในโด๊สต่อไปพบประมาณ 1 ต่อ 17.5
ล้านโด๊ส อัตราเสี่ยงสูงขึ้นในผู้ที่มีอายุ > 18 ปี และในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงไม่ควรให้ OPV ในคน 2 กลุ่มดังกล่าว รวมทั้งหญิงมีครรภ์
วัคซีน IPV ไม่ทำให้เกิดอัมพาตเนื่องจากผลิตจากเชื้อที่ตายแล้ว วัคซีน IPV ชนิดที่รวมอยู่กับ
วัคซีน DTP (มีทั้ง DTwP และ DTaP) อาจทำให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีดหรือมีไข้หลังการฉีด ซึ่งเป็นผลจากวัคซีน DTP
บรรณานุกรม
- Bea Grace Pascual. 2019. "All You Need to Know About Polio." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา SAGISAG. (25 เมษายน 2564).
- "Polio Vaccine" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Britannica. (25 เมษายน 2564).
- "Polio vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (25 เมษายน 2564).
- Anda Baicus. 2012. "History of polio vaccination." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา World J Virol. 2012;1(4):108–114. (25 เมษายน 2564).
- Stuart Blume and Ingrid Geesink. 2000. "A Brief History of Polio Vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Science. 2000;288(5471):1593-1594. (25 เมษายน 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
- "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).