วัคซีนโปลิโอ (Polio Vaccine)

เชื้อไวรัสโปลิโอเป็นไวรัส RNA สายเดี่ยว ไม่มีเปลือกหุ้ม จัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งไม่รุนแรงและไม่ทำให้เป็นอัมพาต สายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งทำให้เกิดอัมพาตที่แขนหรือขา และสายพันธุ์ที่ 3 ซึ่งมีผลต่อกล้ามเนื้อระดับ bulbar ทำให้หายใจไม่ได้ ปัจจุบันสายพันธุ์ที่ 2 และ 3 ได้หายไปจากโลกแล้ว เหลือเพียงสายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งพบได้น้อยลงอย่างมากเนื่องจากการใช้วัคซีนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955

ก่อนมีวัคซีน เด็กทั่วโลกกว่า 350,000 คนจาก 125 ประเทศติดเชื้อโปลิโอทุกปี ก่อให้เกิดความพิการและเสียชีวิตจำนวนมาก เชื้อโปลิโออยู่ในลำไส้และแพร่ผ่านอุจจาระ เด็กมักติดเชื้อจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน โดยกว่า 95% ของผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ ทำให้การพบผู้ป่วยเพียง 1 ราย อาจหมายถึงมีเด็กอีกหลายร้อยรายได้รับเชื้อ และสามารถแพร่เชื้อได้นานหลายสัปดาห์

📖   ประวัติการพัฒนาวัคซีน

วัคซีนโปลิโอถูกพัฒนาโดย Dr. Jonas Salk และ Dr. Albert Sabin ในช่วงปี 1950-1960 โดย Dr. Salk พัฒนา "วัคซีนชนิดฉีด" (IPV) จากเชื้อที่ถูกทำให้ตาย และทดลองในเด็กกว่า 1.6 ล้านคนในปี 1954 ผลการทดลองชี้ว่าสามารถป้องกันได้ 80-90% และเริ่มใช้ในวงกว้างในปีถัดมา

ต่อมาในปี 1960 Dr. Sabin พัฒนา "วัคซีนชนิดกิน" (OPV) จากเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ หยอดทางปาก ใช้ง่าย สร้างภูมิคุ้มกันทั้งในลำไส้และกระแสเลือด OPV ได้รับการรับรองให้ใช้ในหลายประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่ระบาดของโรคโปลิโอ

⁑   ส่วนประกอบของวัคซีนในปัจจุบัน

วัคซีนชนิดกิน (OPV) ผลิตจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ 1 และ 3 ที่อ่อนฤทธิ์แล้ว ประกอบด้วย:

  • สายพันธุ์ที่ 1: ไม่น้อยกว่า 1,000,000 TCID50
  • สายพันธุ์ที่ 3: ไม่น้อยกว่า 600,000 TCID50
  • ไม่มีสายพันธุ์ที่ 2
  • มี Streptomycin และ Neomycin ปริมาณ < 25 ไมโครกรัม
TCID50 = Median Tissue Culture Infectious Dose

วัคซีนชนิดฉีด (IPV) เป็นเชื้อตาย ประกอบด้วย:

  • สายพันธุ์ที่ 1: 40 D antigen units
  • สายพันธุ์ที่ 2: 8 D antigen units
  • สายพันธุ์ที่ 3: 32 D antigen units
  • สารประกอบเสริม: aluminium hydroxide
  • สารกันเสียและยาปฏิชีวนะเล็กน้อย เช่น Phenoxyethanol, Streptomycin, Neomycin และ Polymyxin-B
D antigen units = หน่วยวัดจำนวนไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน


🏥   การใช้ในประเทศไทย

ประเทศไทยเริ่มให้วัคซีนโปลิโอแก่เด็กตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 โดยใช้ OPV เป็นหลัก ต่อมาในปี 2520 ได้ใช้เป็นวัคซีนพื้นฐานทั่วประเทศ ในปี 2557 WHO รับรองว่าไทยปลอดโปลิโอแล้ว แต่เนื่องจาก OPV อาจมีเชื้อฟื้นกลับ จึงเริ่มใช้ IPV ควบคู่กับ OPV ตั้งแต่ปี 2558

ข้อดีของ IPV:

  • ใช้ได้ในเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอัมพาตจากวัคซีน
  • สร้างภูมิคุ้มกันได้ดีหลังฉีด 2 เข็ม
  • ไม่ทำให้เชื้อกลายพันธุ์

ข้อเสียของ IPV:

  • มีราคาแพง
  • สร้างภูมิคุ้มกันช้ากว่า OPV เล็กน้อย
  • ภูมิคุ้มกันในลำไส้น้อยกว่า OPV

💉   วิธีใช้วัคซีนแต่ละชนิด

วัคซีน OPV: หยอดปาก 0.1-0.5 มล. ตามบริษัทผู้ผลิต ห้ามใช้ในเด็กภูมิคุ้มกันบกพร่อง และต้องระวังการปนเปื้อนจากปากเด็ก

วัคซีน IPV: ฉีดเข้ากล้าม สามารถใช้ในเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง



⚠️   ผลข้างเคียงที่อาจพบ

OPV: อาจเกิดอัมพาตจากวัคซีน (VAPP) ในสัดส่วน 1:1.4 ล้านโด๊ส โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงห้ามใช้ในคนกลุ่มนี้

IPV: ไม่ทำให้เกิดอัมพาต อาการข้างเคียงที่พบได้คือ ปวด บวม แดง หรือไข้ ซึ่งมักเกิดจากวัคซีน DTP ที่ฉีดร่วมกัน


📌   สรุป

วัคซีนโปลิโอมีบทบาทสำคัญในการลดและกำจัดโรคโปลิโอทั่วโลก ปัจจุบันประเทศไทยใช้ทั้ง OPV และ IPV ควบคู่กัน โดย OPV ใช้เป็นหลัก ส่วน IPV ใช้เสริมในวัยเด็กหรือในกลุ่มเสี่ยง วัคซีนทั้งสองมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกัน แม้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่ล้วนมีความสำคัญในการป้องกันโรคโปลิโออย่างยั่งยืน


บรรณานุกรม

  1. Bea Grace Pascual. 2019. "All You Need to Know About Polio." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา SAGISAG. (25 เมษายน 2564).
  2. "Polio Vaccine" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Britannica. (25 เมษายน 2564).
  3. "Polio vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (25 เมษายน 2564).
  4. Anda Baicus. 2012. "History of polio vaccination." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา World J Virol. 2012;1(4):108–114. (25 เมษายน 2564).
  5. Stuart Blume and Ingrid Geesink. 2000. "A Brief History of Polio Vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Science. 2000;288(5471):1593-1594. (25 เมษายน 2564).
  6. "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
  7. "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).