วัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine)
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัส Rabies ที่พบในน้ำลายของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว และสัตว์ป่า เช่น แรคคูน สกั๊ง สุนัขจิ้งจอก ค้างคาว เป็นต้น โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางบาดแผลที่ถูกสัตว์กัด ระยะฟักตัวของโรคอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึงหลายปี แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะมีอาการทางระบบประสาทที่รุนแรงและรวดเร็ว เช่น ไข้ กระสับกระส่าย กลืนลำบาก ไวต่อสิ่งกระตุ้น ชัก หมดสติ และอัมพาต เกือบทั้งหมดจะเสียชีวิต เนื่องจากยังไม่มียารักษาโรคนี้
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
ผู้บุกเบิกวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าคือ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีและจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้คิดค้นวิธีฆ่าเชื้อแบบพาสเจอไรซ์ และผู้วางรากฐานแนวคิดการทำวัคซีนจากเชื้อที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ ปาสเตอร์ใช้วิธีเพาะเชื้อในกระต่ายหลายครั้งจนเชื้ออ่อนฤทธิ์ จากนั้นนำมาฉีดให้สุนัขทดลอง และพบว่าสามารถป้องกันโรคได้
ในปี ค.ศ. 1885 เด็กชายโจเซฟ ไมส์เตอร์ วัย 9 ขวบ ที่ถูกสุนัขบ้ากัด ได้รับวัคซีนที่ปาสเตอร์พัฒนาขึ้น และรอดชีวิตจากโรคร้ายนี้ หลักการของปาสเตอร์ได้กลายเป็นพื้นฐานในการผลิตวัคซีนเชื้อมีชีวิตแต่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ในยุคถัดมา
อย่างไรก็ตาม วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีข้อจำกัด เช่น ความเสี่ยงต่อการแพ้เนื้อเยื่อสัตว์ที่ใช้เพาะเชื้อ และความไม่แน่นอนว่าเชื้อที่อ่อนฤทธิ์จะไม่กลับมาเป็นอันตรายอีก ด้วยเหตุนี้ วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าในปัจจุบันจึงพัฒนาเป็น "วัคซีนเชื้อตาย" ทั้งหมด โดยแบ่งตามแหล่งเพาะเชื้อได้ดังนี้:
- วัคซีนเชื้อตายจากตัวอ่อนของไก่หรือเป็ด (1 มล.)
- PCECV (Rabipur®) ผลิตจาก chick embryo fibroblast cell มีน้ำใส ไม่มีสี
- PDEV (Lyssavac®) ผลิตจากไข่เป็ดฟัก มีน้ำสีขาวขุ่นเล็กน้อย
- วัคซีนเชื้อตายจาก Vero cell (0.5 มล.)
- PVRV (Verorab®) ผลิตโดย Sanofi Pasteur
- PVRV (Abhayrab®) ผลิตโดย Human Biologicals Institute
- CPRV (TRCS SPEEDA®) ผลิตโดย Cheng Da Biotechnology และสถานเสาวภา
- วัคซีนเชื้อตายจาก human diploid cell (1 มล.)
- HDCV (SII Rabivax®) ผลิตโดย Sanofi Pasteur
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนพิษสุนัขบ้าในคนอย่างจริงจังก่อนปี พ.ศ. 2500 โดยในช่วงแรกใช้วัคซีนจากเนื้อสมองสัตว์ซึ่งมีผลข้างเคียงสูง ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 ประเทศไทยเริ่มผลิตวัคซีนเชื้อตายในเซลล์เพาะเลี้ยงเอง ซึ่งปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง และในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนในสุนัขอย่างจริงจัง
💉 วิธีฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนมี 2 แบบ:
- ฉีดก่อนสัมผัสโรค (Pre-exposure)
สำหรับผู้มีความเสี่ยง เช่น สัตวแพทย์ นักวิจัย ผู้เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ฉีดวัคซีน 2 เข็มห่างกัน 1 สัปดาห์ โดยฉีดเข้ากล้าม 1 เข็มต่อครั้ง หรือฉีดเข้าผิวหนัง 2 จุด จุดละ 0.1 มล. ควรตรวจภูมิคุ้มกันทุก 1-2 ปี และฉีดกระตุ้นเมื่อภูมิลดต่ำ
- ฉีดหลังสัมผัสโรค (Post-exposure)
ใช้ในกรณีถูกกัดหรือสัมผัสสัตว์ที่อาจติดเชื้อ การรักษาขึ้นกับระดับความเสี่ยง:
ระดับความเสี่ยง | ลักษณะการสัมผัส | การปฏิบัติ |
ระดับ 1 ไม่ติดโรค | - สัมผัสสัตว์โดยไม่มีแผล - ถูกเลียโดยไม่มีแผล | - ล้างบริเวณสัมผัส - ไม่ต้องฉีดวัคซีน |
ระดับ 2 เสี่ยง | - ถูกกัดเป็นรอยถลอกมีเลือดซิบ ๆ - ถูกเลียบริเวณแผล | - ล้างแผล - ฉีดวัคซีน |
ระดับ 3 เสี่ยงสูง | - ถูกกัดทะลุผิวหนัง มีเลือดออก - ถูกเลียในเยื่อบุตา ปาก จมูก | - ล้างแผล - ฉีดวัคซีน - ฉีด RIG |
แนวทางการฉีด
- ไม่เคยฉีดมาก่อน: ฉีด 5 เข็ม วันที่ 0, 3, 7, 14, 30
- เคยฉีดแล้ว ≥ 3 เข็ม:
- ภายใน 6 เดือน: ฉีด 1 เข็ม
- เกิน 6 เดือน: ฉีด 2 เข็ม วันที่ 0, 3
- กรณีแผลลึกหรือบริเวณสำคัญ (หน้า มือ): ล้างแผลนาน 15 นาที และฉีด HRIG รอบแผล
วัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันโรคได้ 100% หากได้รับตามคำแนะนำ และต้องเก็บในอุณหภูมิ 2-8°C หลีกเลี่ยงแสง ใช้ภายใน 30 นาทีหลังผสมน้ำ
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
ผลข้างเคียงโดยทั่วไปไม่รุนแรง เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด (20%) ปวดศีรษะ (5%) คลื่นไส้ (2%) ส่วนอาการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis พบน้อยมาก (1 ใน 10,000 โด๊ส) มักเกิดภายใน 15 นาทีแรก
📌 สรุป
- โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่เกือบทั้งหมดเสียชีวิตเมื่อมีอาการ
- วัคซีนพิษสุนัขบ้าปลอดภัย มีหลายชนิด แบ่งตามเซลล์ที่ใช้เพาะเชื้อ
- สามารถป้องกันโรคได้ 100% หากฉีดตามแนวทางอย่างครบถ้วน
- มีวิธีฉีดทั้งก่อนและหลังสัมผัสโรค ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและประวัติการฉีดเดิม
- ควรล้างแผลทันทีหากถูกสัตว์กัด และพบแพทย์โดยเร็ว
บรรณานุกรม
- D J Jicks, et al. 2012. "Developments in rabies vaccines
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clin Exp Immunol. 2012;169(3):199–204. (22 พฤษภาคม 2564).
- "Rabies vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (22 พฤษภาคม 2564).
- "Louis Pasteur and the Development of the Attenuated Vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา VBI Vaccines. (22 พฤษภาคม 2564).
- "Rabies Human vaccines." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา WHO (22 พฤษภาคม 2564).
- "A Look at Each Vaccine: Rabies Vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Children's Hospital of Philadelphia (24 พฤษภาคม 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).