วิตามินเอ (Retinol)

วิตามิน A เป็นชื่อรวมของกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ที่มีโครงสร้างของวง retinyl group ต่อกับสาย isoprenoid วิตามินเอในสัตว์สายสั้นกว่า เรียกว่า Retinoids วิตามินเอในพืชมีโครงสร้างซับซ้อนกว่า เรียกว่า Carotenoids กลุ่มของ Retinoids ได้แก่ retinol, retinal, retinoic acid, retinyl esters โดย retinol เป็นสารที่พบมากที่สุด และถือเป็นตัวแทนของกลุ่ม กลุ่มของ Carotenoids ได้แก่ carotenes และ xanthophylls โดยมี β-carotene ที่พบมากที่สุดเป็นตัวแทนของกลุ่ม

หน่วยวัดปริมาณวิตามินเอ

เนื่องจากในอาหารชนิดหนึ่งมีวิตามินเอหลายตัวผสมกัน และแต่ละตัวก็มีฤทธิ์ของวิตามินเอมาก-น้อยต่างกัน จากการที่เราพบว่ากลุ่ม Carotenoids หลายตัวถูกเปลี่ยนเป็น retinol เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงมีการกำหนดหน่วยวัดปริมาณวิตามินเอตามฤทธิ์ที่เทียบเท่ากับ retinol เรียกว่า "Retinol activity equivalent, RAE" แทน IU และ RE (Retinol equivalent) ที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้ โดย ...

1 mcg RAE (1 ไมโครกรัม อาร์เออี)
= retinol 1 mcg
= β-carotene ที่ละลายในไขมัน (รูปเม็ดยา) 2 mcg
= β-carotene ในพืช 12 mcg
= provitamin A อื่น ๆ ในพืช 24 mcg

แต่ปัจจุบันขนาดของวิตามินเอแบบเม็ดยายังคงใช้เป็น IU โดย ...
1 IU ของ retinol = 0.3 mcg RAE
1 IU ของ β-carotene ในรูปเม็ดยา = 0.3 mcg RAE
1 IU ของ β-carotene ในพืช = 0.05 mcg RAE
1 IU ของ provitamin A อื่น ๆ ในพืช
(เช่น α-carotene, γ-carotene, β-cryptoxanthin) = 0.025 mcg RAE

ตำราอาหารที่ตีพิมพ์ก่อนปีค.ศ. 2001 อาจปรากฏหน่วย mcg RE สำหรับปริมาณสาร Carotenoids ในพืช ขอให้เข้าใจว่า 1 mcg RE = 0.5 mcg RAE

บทบาทของวิตามินเอ

ทั้ง Retinoids และ Carotenoids มิได้มีความแตกต่างกันเพียงโครงสร้างทางเคมีและแหล่งกำเนิดเท่านั้น แต่บทบาทในร่างกายเราก็ต่างกันด้วย

วิตามินเอกลุ่ม Retinoids มีหน้าที่ช่วยให้เซลล์เติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ จึงจำเป็นมากสำหรับตัวอ่อนในครรภ์ไปจนถึงวัยรุ่น

retinol จากอาหาร เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น retinal ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ rhodopsin หรือตัวรับแสงในจอตา ทำให้เรามองเห็นได้ในที่มืด กับ retinoic acid ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อข้อมูลภายในเซลล์ คอยควบคุมการทำงานของหัวใจ ปอด ไต ระบบย่อยอาหาร ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและภูมิต้านทาน

วิตามินเอกลุ่ม Carotenoids ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบ จึงช่วยป้องกันมะเร็งและชะลอความแก่ แคโรทีนอยด์ที่พบภายในจอตาของมนุษย์คือ lutein และ zeaxanthin ซึ่งช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ (age-related macular degeneration)

แหล่งของวิตามินเอในธรรมชาติ

อาหารที่มี Retinoids มาก ได้แก่ ปลา ตับ นม เนย ชีส น้ำมันตับปลา อาหารที่มี Carotenoids มาก ได้แก่ พืชที่มีสีส้มหรือเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะม่วง มะละกอ ลูกพลับ แคนตาลูป แอปริคอต มันหวาน รวมทั้งผักที่มีสีเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี่ ผักกาดหอม

ร่างกายคนเราสามารถเปลี่ยน Carotenoids เป็น Retinoids ด้วยเอนไซม์ BCMO1 (β-carotene 15,15'-monoxygenase) ในตัวเราเอง เราจึงไม่จำเป็นต้องกินทั้งอาหารจากสัตว์และพืชเพื่อให้ได้รับวิตามินเอทั้ง 2 รูปแบบ เว้นแต่ในผู้ที่มีปัจจัยยับยั้งการเปลี่ยน Carotenoids เป็น Retinoids ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ ...

วิตามินเอทั้ง Retinoids และ Carotenoids ดูุดซึมได้ดีขึ้นเมื่อมีอาหารไขมันอยู่ด้วย

ร่ายกายต้องการวิตามินเอวันละ 800 µgRE หรือ 2,666 IU ในเด็กเล็กและทารกต้องการน้อยกว่านี้ ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรต้องการวันละ 1,200-1,300 µgRE หรือ 4,000-5,000 IU แต่เราไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอทุกวันก็ได้หากวันก่อนหน้าได้รับประทานไปมากแล้ว เพราะวิตามินเอสะสมได้ในตับ และร่างกายจะดึงที่เก็บออกมาใช้เอง

จากการที่วิตามินเอสะสมในร่างกายได้ จึงไม่ควรรับประทานเกินวันละ 3000 µgRE หรือ 10,000 IU (รวมอาหาร+เม็ดยา)

ภาวะขาดวิตามินเอ

การขาดวิตามิน A มักพบในเด็กที่ขาดอาหารและผู้ที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน เช่นเป็นโรค Cystic fibrosis อาการจะแสดงที่ตาเป็นสำคัญ ได้แก่ ตาบอดกลางคืน (Night blindness), ตาแห้ง (Xerophthalmia), ตาขาวมีรอยย่น เรียกสะเก็ดปลากระดี่ (Bitot'spot) แต่การมองเห็นยังคงปกติ, ตาวุ้น (Keratomalacia) ในระยะแรกกระจกตาจะแห้งและขุ่น ต่อมาจะอ่อนคล้ายวุ้น

หากอาการแสดงทางตายังไม่ชัดเจน อาจปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจ rod scotometry และ electroretinography รวมทั้งเจาะเลือดหาระดับของเรตินอล (ค่าปกติ 28-86 mcg/dL)

การวินิจฉัยภาวะขาดวิตามินเอค่อนข้างยากในระยะแรก เพราะระดับของเรตินอลยังไม่ค่อยต่ำจนกว่าตับจะไม่เหลือวิตามินเออีกแล้ว และอาการตาบอดกลางคืนอาจพบได้ในโรคอื่น เช่น retinitis pigmentosa, ต้อกระจก, เบาหวานขึ้นตา, ภาวะขาดสังกะสี (zinc deficiency), และในคนที่สายตาสั้นมาก ๆ บางครั้งแพทย์จะใช้วิธี "ลองรักษาดูก่อน" หากตอบสนองดีต่อการให้วิตามินเอขนาด 60,000 IU รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 วัน จากนั้นตามด้วยขนาด 4,500 IU วันละครั้งนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก็แสดงว่าขาดวิตามินเอจริง

ผู้ป่วยที่ขาดวิตามิน A มักขาดวิตามินอื่นด้วย มีรายงานโรคที่ขาดวิตามิน 5 ตัวรวมกัน เรียกว่า pandemic deficiency diseases ได้แก่ ขาดวิตามิน A, D, B1, B3, และ C

พิษของวิตามินเอ

พิษของวิตามิน A มักพบในหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานวิตามินเอเสริมอาหารในขนาดสูง ซึ่งอาจทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด หรือทำให้เกิดพิษต่อตับ วิตามินเอจากอาหารธรรมชาติไม่ทำให้เกิดพิษรุนแรง ผู้ที่ชอบรับประทานมะละกอมากเกินไปอาจพบการสะสมของเบต้าแคโรทีนที่ฝ่ามือ ทำให้ดูฝ่ามือเหลือง แต่ไม่พบความผิดปกติอย่างอื่น เมื่อหยุดรับประทานไปสัก 1 สัปดาห์อาการฝ่ามือเหลืองก็จะหายไป

บรรณานุกรม

  1. "Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  5. "Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  6. "Chapter 7. Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา fao.org. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  7. "Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  8. "Vitamin A (Retinol)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา VIVO Pathophysiology. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  9. "Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  10. "Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (11 กุมภาพันธ์ 2563).
  11. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods High in Vitamin A." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (30 มกราคม 2563).
  12. Larry E. Johnson. 2019. "Vitamin A Deficiency." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (11 กุมภาพันธ์ 2563).