วิตามิน B2 (Riboflavin)
ชื่อ "ไรโบฟลาวิน" มาจากคำว่า flavus ในภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า "สีเหลือง" เป็นสารที่เรืองแสงเมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต ในธรรมชาติ ไรโบฟลาวินกว่า 90% อยู่ในรูปของ flavin mononucleotide (FMN) และ flavin adenine dinucleotide (FAD) ซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงาน
ร่างกายดูดซึมไรโบฟลาวินที่ลำไส้เล็กส่วนต้น แต่ดูดซึมเท่าที่จำเป็น หากรับเกินความต้องการจะขับออกทางปัสสาวะ ซึ่งทำให้ปัสสาวะมีสีเหลือง แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ก็สามารถสร้างไรโบฟลาวินได้ หากร่างกายขาดจะดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน
หน่วยวัดปริมาณวิตามิน B2
ใช้หน่วยมิลลิกรัม (mg) ในอาหารและยา ส่วนการประเมินสถานะในร่างกายวัดจากระดับไรโบฟลาวินในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง (24-hr urine riboflavin) โดยค่าปกติควรมากกว่า 120 mcg/วัน หากต่ำกว่า 40 mcg/วัน อาจบ่งชี้ว่ารับประทานไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม วิธีที่แม่นยำกว่าคือการวัด erythrocyte glutathione reductase activity coefficient (EGRAC) ซึ่งหากค่า > 1.4 แสดงว่าร่างกายขาด FAD
บทบาทของวิตามิน B2
ไรโบฟลาวินจากอาหารหรือที่สร้างจากแบคทีเรียจะถูกเปลี่ยนเป็น FMN และ FAD โดยใช้ ATP และสามารถเปลี่ยนกลับได้ตามความต้องการ บทบาทสำคัญ ได้แก่:
- สร้างพลังงานร่วมกับวิตามิน B ตัวอื่นๆ โดย:
- ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้เป็น acetyl CoA เพื่อเข้าสู่วัฏจักรเคร็บส์
- FAD เป็นโคเอนไซม์สำคัญในการเปลี่ยน succinate → fumarate
- ร่วมกับวิตามิน B3 ในขบวนการส่งอิเล็กตรอนเพื่อสร้างพลังงาน
- ต้านอนุมูลอิสระ:
- ช่วยฟื้นสภาพ reduced glutathione ที่ใช้แล้วกลับมาใช้งานใหม่
- เปลี่ยน hypoxanthine และ xanthine เป็นกรดยูริค ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญในเลือด
- เสริมการทำงานของวิตามินอื่น:
- รีไซเคิลโฟเลตกลับมาใช้ใหม่

- ร่วมกับ B12 เปลี่ยน homocysteine เป็น methionine
- เปลี่ยน B6 ให้กลายเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ได้ (pyridoxal 5’-phosphate)
- เปลี่ยน tryptophan เป็น niacin (วิตามิน B3)
- เปลี่ยน retinol (วิตามิน A) เป็น retinoic acid
- ช่วยดูดซึมและนำธาตุเหล็กไปใช้สร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมน corticosteroids
แหล่งของวิตามิน B2 ในธรรมชาติ
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไรโบฟลาวิน ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต เต้าหู้ นม โยเกิร์ต ไข่ ถั่ว ผักใบเขียว เห็ด ส้ม องุ่นแดง ตับ และเครื่องในสัตว์ แม้จะไม่มีสีเหลืองให้เห็นชัด เพราะมีในปริมาณเล็กน้อย
ไรโบฟลาวินถูกแสงทำลายได้ง่าย จึงควรเก็บอาหารในภาชนะทึบแสง เช่น กล่องนม ส่วนความร้อนทำลายบางส่วน เช่น การอุ่นนม 15 นาที สูญเสียถึง 27% การเทน้ำทิ้งหลังต้มอาหารก็ทำให้สูญเสียวิตามินเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ความเย็นไม่ทำลายไรโบฟลาวิน การแช่เย็นโดยไม่ให้แสงเล็ดลอดทำให้วิตามินสูญเสียได้น้อยมาก
ความต้องการต่อวันประมาณ 1.7 mg ต่อการใช้พลังงาน 2,000 kcal ร่างกายสะสมไว้ได้น้อย โดยเก็บที่ตับ ไต และหัวใจเท่านั้น
ภาวะขาดวิตามิน B2
กลุ่มเสี่ยง ได้แก่:
- นักกีฬาที่เป็นมังสวิรัติ
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
- ทารกที่ได้รับการฉายแสงรักษาอาการตัวเหลืองนานหลายวัน
- ผู้ติดสุราเรื้อรัง
- ผู้ขาดเอนไซม์แลคเตสที่ไม่ดื่มนม
- ผู้ที่ต่อมไทรอยด์หรือต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ
- ผู้ป่วยโรค Infantile Brown-Vialetto-Van Laere syndrome ซึ่งมีปัญหาการดูดซึมไรโบฟลาวินจากพันธุกรรม
อาการขาด ได้แก่ ปากนกกระจอก (แผลมุมปาก), ริมฝีปากแห้งแตก, ลิ้นเลี่ยน, เคืองตา แพ้แสง มองไม่ชัด ต้อกระจก เปลือกตาเป็นขี้กลาก และอาจเกิดโลหิตจาง หากขาดช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกพิการได้
การวินิจฉัยใช้ประวัติ อาการ และค่า EGRAC > 1.4 (แต่ไม่ใช้ในคนขาด G6PD) หรือระดับไรโบฟลาวินในปัสสาวะ < 40 mcg/วัน หากไม่สามารถตรวจแล็บได้ อาจพิจารณาให้รับประทานวิตามินเสริมดูผล
พิษของวิตามิน B2
ไม่เคยพบพิษแม้ได้รับสูงถึง 400 mg/วัน เป็นเวลา 3 เดือน เพราะเป็นวิตามินละลายน้ำ ร่างกายสามารถขับออกได้ทุกวัน
สรุป
วิตามิน B2 หรือไรโบฟลาวิน มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน การต้านอนุมูลอิสระ และสนับสนุนการทำงานของวิตามินอื่น ๆ ร่างกายสะสมได้น้อยและสูญเสียง่ายเมื่อโดนแสงหรือความร้อน การขาดอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง ดวงตา และภาวะโลหิตจาง ถึงแม้ไม่พบพิษจากการได้รับมากเกินไป แต่การบริโภคให้พอเพียงในแต่ละวันก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
บรรณานุกรม
- "Riboflavin (vitamin B2)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
- "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
- "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- Bárbara J. Henriques, et al. 2010. "Emerging Roles for Riboflavin in Functional Rescue of Mitochondrial β-Oxidation Flavoenzymes." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Current Medicinal Chemistry, 2010,17(32):3842-54. (25 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Riboflavin." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Riboflavin." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (25 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Riboflavin." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (25 กุมภาพันธ์ 2563).
- "vitamin B2 - riboflavin." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (25 กุมภาพันธ์ 2563).
- Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Vitamin B2." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
- Larry E. Johnson. 2019. "Riboflavin Deficiency." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (25 กุมภาพันธ์ 2563).