วิตามิน B5 (Pantothenic acid)
กรดแพนโทเธนิค (Pantothenic acid) เป็นสารประกอบของ D-Pantoic acid กับ β-Alanine คำว่า “pantothen” มาจากภาษากรีก หมายถึง “มีอยู่ทั่วไปทุกที่” เนื่องจากวิตามินชนิดนี้พบได้ในอาหารเกือบทุกชนิด ทั้งจากพืช สัตว์ และแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ที่สามารถสร้างกรดแพนโทเธนิคได้เอง
เมื่อเข้าสู่ร่างกาย กรดแพนโทเธนิคส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการสร้าง Coenzyme A (CoA) ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในกระบวนการเมตาบอลิซึมต่าง ๆ ส่วนอีกราว 15% จะอยู่ในรูปของ Acyl carrier protein ที่มีบทบาทในการสังเคราะห์กรดไขมัน
หน่วยวัดปริมาณวิตามิน B5
ในอาหารวัดเป็นมิลลิกรัม (mg) ของกรดแพนโทเธนิค วันหนึ่งเราต้องการประมาณ 6 mg
บทบาทของวิตามิน B5
กรดแพนโทเธนิคมีความสำคัญมากในกระบวนการดำรงชีวิต เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของ CoA และ Acyl carrier protein หน้าที่สำคัญได้แก่:
- สลายคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันให้เป็นพลังงาน
- สร้างโคเลสเตอรอลและกรดไขมันต่าง ๆ
- ช่วยในการสังเคราะห์กรดอะมิโน เช่น leucine, arginine และ methionine
- สร้างสารสื่อประสาท Acetylcholine ที่สำคัญต่อระบบพาราซิมพาเทติก
- มีส่วนในการสังเคราะห์วิตามิน A และ D
- ช่วยสร้างฮีโมโกลบินและโปรตีน cytochrome ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเทอิเล็กตรอน
แหล่งของวิตามิน B5 ในธรรมชาติ
อาหารเกือบทุกชนิดมีวิตามิน B5 แม้ในปริมาณไม่มากนัก แต่เมื่อรวมอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน เราสามารถได้รับวิตามิน B5 รวมกันราว 4-7 มิลลิกรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่สามารถสร้างกรดแพนโทเธนิคได้ถึง 2.2 mg/kg ของน้ำหนักอุจจาระต่อวัน โดยคนทั่วไปมีเนื้ออุจจาระในลำไส้ประมาณ 400-500 กรัม จึงได้รับเพิ่มราว 1 mg ต่อวัน
วิตามิน B5 ในอาหารจะลดลงตามระยะเวลา เช่น อาหารกระป๋องหรืออาหารแห้งจะสูญเสียไปราว 50% ภายใน 1 ปี ส่วนผลไม้สดที่ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 สัปดาห์ จะสูญเสียไปราว 20%
ความร้อนจากการปรุงอาหารไม่ทำลายวิตามิน B5 มากนัก แต่หากเทน้ำที่ต้มทิ้งจะสูญเสียวิตามินไปกับน้ำ
ภาวะขาดวิตามิน B5
การขาดวิตามิน B5 พบได้น้อยมาก ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มนักโทษในประเทศฟิลิปปินส์ พม่า และญี่ปุ่นที่ขาดอาหาร มีอาการรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มที่มือและเท้า ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ โลหิตจาง และผมขาว ซึ่งอาการดีขึ้นหลังได้รับกรดแพนโทเธนิคเสริม
อีกกรณีหนึ่งคือผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในญี่ปุ่นที่ใช้ยากระตุ้นสมองชื่อ Calcium homopantothenate (hopantenate) เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ จะเกิดอาการสับสน ซึมเศร้า ซึ่งดีขึ้นหลังได้รับกรดแพนโทเธนิคเสริม ทำให้เชื่อว่า homopantothenate อาจยับยั้งการทำงานของกรดแพนโทเธนิค
โดยทั่วไปผู้ที่ขาดวิตามิน B5 มักขาดวิตามินบีตัวอื่นร่วมด้วย เช่น B12, B9 (โฟเลต) และ B7 (ไบโอติน) ซึ่งมีบทบาทในกระบวนการเมตาบอลิซึมของกรดแพนโทเธนิค
การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจระดับกรดแพนโทเธนิคในเลือด (whole blood) โดยค่าปกติอยู่ที่ 1.6-2.7 µmol/L (< 1 µmol/L ถือว่าขาด) แต่เนื่องจากกรดนี้ไม่อยู่ในรูปอิสระในเลือด ต้องใช้อินเทอร์เฟอเรนซ์เอนไซม์เพื่อสกัดออกมาก่อน
วิธีตรวจที่ง่ายและแม่นยำกว่าคือการวัดกรดแพนโทเธนิคในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง โดยคนปกติจะขับออกประมาณ 2.6 mg/วัน ถ้าต่ำกว่า 1 mg/วัน ถือว่าขาด
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักอยู่ในรูป calcium pantothenate, pantothenol (รูปแอลกอฮอล์) และ pantethine (ใช้ลดไขมันในเลือดในญี่ปุ่น) ซึ่งสามารถมีปฏิกิริยากับยากลุ่ม macrolides เช่น Azithromycin, Clarithromycin, Erythromycin, Roxithromycin
ขนาดที่ใช้ในการรักษาอยู่ที่ 100-500 mg/วัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และควรใช้ร่วมกับวิตามินบีรวม รวมถึงวิตามิน B12
พิษของวิตามิน B5
การได้รับกรดแพนโทเธนิคในปริมาณสูงมาก (10-20 กรัม/วัน) ซึ่งเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ (เพียง 6 mg/วัน) อาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดและเยื่อหุ้มหัวใจชนิดที่มีจำนวนเม็ดเลือดอีโอสิโนฟิลสูง และรบกวนการดูดซึมไบโอติน
สรุป
วิตามิน B5 หรือกรดแพนโทเธนิค เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารทั่วไปแทบทุกชนิด และยังสามารถสังเคราะห์ได้จากแบคทีเรียในลำไส้ มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย โดยเฉพาะการสร้าง Coenzyme A และ Acyl carrier protein ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงาน การสังเคราะห์ไขมัน โปรตีน และสารสื่อประสาท
แม้ภาวะขาดจะพบได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท เม็ดเลือด และพลังงาน การบริโภคในปริมาณปกติไม่ก่อให้เกิดพิษ แต่การรับประทานอาหารเสริมในขนาดสูงอาจเป็นอันตรายได้
บรรณานุกรม
- "10.6 Pantothenic Acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (7 มีนาคม 2563).
- "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
- "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Pantothenic Acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (3 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Pantothenic Acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (3 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Pantothenic Acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (29 กุมภาพันธ์