วิตามิน B9 (Folate)

ชื่อ folate มาจากคำว่า folium ในภาษาลาติน และ foliate ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า ใบไม้ เพราะโฟเลตเป็นสารที่มีมากในผักใบแทบทุกชนิด

โฟเลตในธรรมชาติเป็นอนุพันธ์ของสารประกอบ polyglutamates ในรูป tetrahydrofolate (THF, H4folate) เมื่อเข้าไปในลำไส้ต้องถูกเอนไซม์ตัดหมู่กลูตาเมตออกให้เหลือเพียงตัวเดียว (monoglutamate) จึงจะดูดซึมได้ ส่วนกรดโฟลิก (folic acid) เป็นโฟเลตที่มนุษย์สังเคราะห์ให้เป็น monoglutamate อยู่แล้ว จึงผ่านขั้นตอนนี้ไป การดูดซึมของทั้งโฟเลตและกรดโฟลิกต้องอาศัยตัวพา PCFT (Proton-coupled folate transposter) เข้าไปในเซลล์ลำไส้เล็ก

ภายในเซลล์ลำไส้เล็ก (และทุกเซลล์) กรดโฟลิกจะต้องถูกเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHFR) เปลี่ยนเป็น THF ก่อน จากนั้น THF จากอาหารและจากกรดโฟลิกจะถูกเอนไซม์ MTHFR (methylene tetrahydrofolate reductase) ร่วมกับวิตามิน B2, B6 และ serine เติมหมู่เมธิลลงไป กลายเป็น 5-methyl THF จึงจะเป็นโฟเลตที่ออกฤทธิ์ ดังนั้นการขาดปัจจัยตัวใดตัวหนึ่งในเมตาบอลิซึมของโฟเลตก็จะทำให้ขาดโฟเลตด้วย

เมื่ออยู่ภายนอกร่างกาย กรดโฟลิกจะคงทนกว่าโฟเลต ซึ่งถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ออกซิเจน และแสง กรดโฟลิกที่เติมลงในอาหารพวกแป้งและธัญพืชยังดูดซึมได้ดีกว่าโฟเลตในธรรมชาติ

สำหรับกรดโฟลินิก (folinic acid, leucovorin) ก็เป็นโฟเลตที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นให้สามารถเปลี่ยนเป็น THF ได้เลยโดยไม่ต้องอาศัยเอนไซม์ DHFR จึงใช้ลดพิษของ methotrexate และ pyrimethamine ที่ยังยั้งเอนไซม์ตัวนี้จนทำให้ร่างกายขาดโฟเลต และใช้ร่วมกับ 5-fluorouracil เพื่อรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ ในหน้านี้เราจะไม่กล่าวถึงยาตัวนี้

หน่วยวัดปริมาณวิตามิน B9

หน่วยวัดปริมาณวิตามิน B9 ใช้เป็น mcg DFEs (dietary folate equivalents) โดย ...
1 DFE
= โฟเลตในอาหาร 1 mcg
= กรดโฟลิกในอาหาร 0.6 mcg
= กรดโฟลิกแบบเม็ดยา 0.5 mcg เมื่อรับประทานตอนท้องว่าง

บทบาทของวิตามิน B9

โฟเลตเป็นสารตั้งต้นร่วม (cosubstrate) ในขบวนการสร้าง DNA RNA และเม็ดเลือดแดง เป็นเอนไซม์ร่วมในขบวนการสร้างกรดอะมิโน (methionine, cysteine, serine, glycine, และ histidine) และเป็นปัจจัยร่วมในการทำงานของระบบประสาท รวมทั้งการสร้างไขสันหลังของตัวอ่อนในครรภ์ จึงเป็นที่มาของมาตรฐานการให้กรดโฟลิก 600 mcg/วัน แก่สตรีก่อนตั้งครรภ์และช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์

ในปฏิกิริยา One-carbon metabolism เป็นการให้หมู่เมธิล (CH3-) แก่กันเป็นทอด ๆ เริ่มจาก 5-methyl THF ให้หมู่เมธิลแก่ cobalamin (vitamin B12) กลายเป็น methylcobalamin แล้ว methylcobalamin ก็ให้หมู่เมธิลแก่ homocysteine กลายเป็นกรดอะมิโน methionine แล้ว methylcobalamin ก็กลับเป็น cobalamin ที่วนกลับมารับหมู่เมธิลจากโฟเลตได้อีก 5-methyl THF เมื่อให้หมู่เมธิลไปแล้วจะเหลือแค่ THF ซึ่งสามารถกลับมาเป็น 5-methyl THF ได้อีกตาม Folate metabolism ข้างบน

อีกด้านหนึ่ง vitamin B6 จะช่วยเปลี่ยน homocysteine เป็น cysteine เพื่อลดระดับของ homocysteine ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจ

แหล่งของวิตามิน B9 ในธรรมชาติ

อาหารที่มีโฟเลตสูงได้แก่ ผักใบเขียวและถั่วทุกชนิด นอกจากนั้นก็มีในข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ตับ เต้าหู้ มะละกอ อะโวคาโด ส้ม กล้วย และพวกอาหารหมัก แบคทีเรียในลำไส้ก็สามารถสร้างโฟเลตให้เราได้ เราจึงต้องการโฟเลตจากอาหารเพียงวันละ 400 ไมโครกรัม

โฟเลตในอาหารจะสูญเสียไปเมื่อเราต้มอาหารแล้วเทน้ำทิ้ง (วิตามินที่ละลายในน้ำทุกตัวเป็นแบบนี้) ความร้อน ความเย็น และแสงทำลายโฟเลตในอาหารไปบางส่วน แต่ไม่มากเท่าการเทน้ำทิ้ง อาหารกระป๋องทั้งหลายจึงมีโฟเลตน้อยเมื่อเทียบกับอาหารจากธรรมชาติ

ร่างกายสะสมโฟเลตได้ประมาณ 15-30 mg ครึ่งหนึ่งถูกเก็บไว้ในตับ ที่เหลืออยู่ในเลือดและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ระดับโฟเลตในเลือดจึงพอจะบอกภาวะขาดโฟเลตได้ (ค่าปกติ > 3 ng/mL) แต่ตัวที่บอกถึงปริมาณโฟเลตในระยะยาวได้ดีกว่าคือ ระดับโฟเลตในเซลล์เม็ดเลือดแดง (ค่าปกติ > 140 ng/mL)

ภาวะขาดวิตามิน B9

การขาดโฟเลตทำให้เกิดภาวะโลหิตจางแบบ megaloblastic คือเม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มวัยถูกผลักออกมาในกระแสเลือดก่อนกำหนด เม็ดเลือดแดงอ่อนนี้มีขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงเต็มวัย และนำพาออกซิเจนได้น้อยกว่า การขาดโฟเลตยังพบ hypersegmented neutrophils และระดับของ homocysteine ในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีแผลในปาก ผิวแห้ง ผมบาง เล็บมีสีคล้ำ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ความจำและการเรียนรู้ลดลง หญิงตั้งครรภ์ที่ขาดโฟเลตจะทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติของไขสันหลังและกระดูกสันหลัง (neural tube defects) ทารกตัวเล็กและอาจคลอดก่อนกำหนด

การวินิจฉัยอาศัยอาการแสดง และระดับของโฟเลตในเลือด < 3 ng/mL หรือในเม็ดเลือดแดง < 140 ng/mL (ระดับ Homocysteine ในเลือดที่สูงขึ้น > 16 µmol/L เป็นเพียงสัญญาญอันตราย แต่ใช้วินิจฉัยไม่ได้ เพราะ Homocysteine อาจสูงขึ้นได้ในภาวะไตวาย ขาดวิตามิน B12 และขาดสารอาหารอื่นด้วย)

การขาดโฟเลตมักพบร่วมกับการขาดวิตามิน B12 อาการก็คล้ายกันมากด้วย การรักษาจึงควรให้ทั้งกรดโฟลิกและวิตามิน B12 คู่กัน เพื่อไม่ให้ผลการชดเชยตัวใดตัวหนึ่งบดบังอาการขาดของอีกตัวหนึ่ง

พิษของวิตามิน B9

ยังไม่มีรายงานพิษของโฟเลตจากธรรมชาติ แต่พิษของกรดโฟลิกพบในผู้ที่รับประทานกรดโฟลิกมากเกินความสามารถเอนไซม์ dihydrofolate reductase จะเปลี่ยนให้เป็น THF กรดโฟลิกอิสระจะไปกดการทำงานของ natural killer cells ทำให้ภูมิต้านทานลดลง นอกจากนั้นยังไปลดฤทธิ์ของยา Methotrexate ที่ใช้รักษาโรครูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน และมะเร็งบางชนิด

บรรณานุกรม

  1. "Folate/folic acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  5. "Folate." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (6 กุมภาพันธ์ 2563).
  6. "Folate." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (6 กุมภาพันธ์ 2563).
  7. "Folate." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (5 มีนาคม 2563).
  8. "Folate." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (5 มีนาคม 2563).
  9. "11.1 Folate & Folic Acid." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (5 มีนาคม 2563).
  10. "11 One-Carbon Metabolism Micronutrients." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (5 มีนาคม 2563).