วิตามินเค

ชื่อวิตามิน K มาจากคำว่า Koagulation ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่า “การแข็งตัวของเลือด” เนื่องจากวิตามินชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการดังกล่าว วิตามินเคเป็นกลุ่มสารประกอบอนุพันธ์ของ 2-methyl-1,4-naphthoquinone โดยแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ได้แก่

  • Phylloquinone หรือ phytonadione (vitamin K1) พบมากในผักใบเขียวและสาหร่าย คิดเป็น 75–90% ของวิตามินเคที่เรารับประทานในแต่ละวัน
  • Menaquinones (vitamin K2) มาจากแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ อาหารหมักดอง และจุลชีพในลำไส้ มีหลายชนิด เรียกว่า MK-n ตั้งแต่ MK-2 ถึง MK-14 โดย MK-4 และ MK-7 พบมากที่สุด
  • Menadione (vitamin K3) เป็นวิตามินเคสังเคราะห์ที่ละลายน้ำได้ ไม่ได้ใช้ในคนแล้วเนื่องจากไปรบกวนการทำงานของกลูตาไธโอน แต่ยังใช้ผสมในอาหารสัตว์
  • Menadiol (vitamin K4) เป็นอนุพันธ์ละลายน้ำของ K3 ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษต่อตับ เม็ดเลือดแดงแตก และตัวเหลืองในทารก
  • 2-methyl-4-amino-1-naphthol hydrochloride (vitamin K5) ได้จากการสังเคราะห์ให้เป็นวิตามินที่ละลายได้ทั้งในน้ำ ไขมัน และแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและแบคทีเรียอ่อน ๆ ปัจจุบันใช้ร่วมกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมไวน์

หน่วยวัดปริมาณวิตามินเค

วิตามินเคที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์คือ K1 และ K2 ซึ่งมีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันการวัดปริมาณวิตามินเคใช้หน่วยไมโครกรัม (mcg) รวมทั้งหมด ทั้งในอาหารและผลิตภัณฑ์ยา โดยวิตามินเคในรูปยาจะอยู่ในรูปของเหลว ใช้ทั้งสำหรับฉีดและรับประทานตามข้อบ่งใช้

บทบาทของวิตามินเค

วิตามินเคละลายในไขมัน และสะสมในตับ ซึ่งเป็นแหล่งสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือดเกือบทั้งหมด (ยกเว้น factor VIII)

วิตามิน K1 และ K2 ทำหน้าที่เติมหมู่คาร์บอกซิล (carboxylation) ให้กับกรดอะมิโนกลูตาเมต (Glu) เปลี่ยนเป็น gamma-carboxyglutamate (Gla) ซึ่งมีความสามารถในการจับแคลเซียมและฟอสโฟลิปิดบนผิวเกล็ดเลือด ส่งผลให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (factors II, VII, IX, X, proteins C, S, Z) ทำงานได้เต็มที่

เอนไซม์ carboxylase ใช้วิตามินเคเป็นโคแฟกเตอร์ เมื่อใช้แล้ววิตามินเคจะกลายเป็น epoxide ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้โดยเอนไซม์ vitamin K epoxide reductase (VKOR) ยา warfarin จะยับยั้ง VKOR ทำให้เกิดการขาดวิตามินเค และส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัว

นอกจากนี้วิตามินเคยังช่วยสร้างโปรตีน osteocalcin และ matrix Gla ที่มีบทบาทในการบำรุงกระดูกและหลอดเลือด

แหล่งของวิตามินเคในธรรมชาติ

แหล่งที่ดีของวิตามินเค ได้แก่ ผักใบเขียวสด อาหารหมัก เช่น นัตโตะ เต้าเจี้ยว ถั่วเน่า มิโซะ เนื้อสัตว์มีปริมาณน้อยกว่า ในขณะที่แบคทีเรียประจำถิ่นในลำไส้ใหญ่ของเราก็สามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้ด้วย

วิตามินเคทนต่อความร้อนจากการปรุงอาหารได้ดี แต่อาจเสื่อมเมื่อสัมผัสแสงโดยเฉพาะในน้ำมันพืช นอกจากนี้กระบวนการ hydrogenation ของไขมัน (เช่น ในมาร์การีน ขนมอบ และของทอด) จะทำลายวิตามินเค

คำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขไทยระบุว่า ควรได้รับวิตามินเควันละ 80 ไมโครกรัม ซึ่งพบได้มากในผักใบเขียวเพียง 1 ส่วนต่อวัน

ภาวะขาดวิตามินเค

มักเกิดในทารกแรกเกิดที่ยังไม่มีแบคทีเรียในลำไส้เพียงพอ จึงต้องฉีดวิตามินเคทุกคนหลังคลอด รวมถึงผู้ป่วยที่มีภาวะดูดซึมไขมันบกพร่อง หรือใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ยาลดการดูดซึมไขมัน (เช่น orlistat, bile acid sequestrants) ก็มีผลลดการดูดซึมวิตามินเค

การขาดวิตามินเคส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า กระดูกเปราะ และเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

พิษของวิตามินเค

ไม่พบพิษจากการบริโภควิตามินเคในอาหารตามธรรมชาติ แต่อาจพบพิษในรูปของวิตามินเคสังเคราะห์ เช่น K3 (menadione) และ K4 (menadiol) โดยเฉพาะในทารก ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ตัวเหลือง และภาวะสมองเหลือง (kernicterus) ซึ่งเป็นเหตุให้เลิกใช้วิตามินเคทั้งสองชนิดในมนุษย์

สรุป

วิตามินเคเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือดและการสร้างกระดูก โดยวิตามิน K1 พบมากในผักใบเขียว และวิตามิน K2 ได้จากแบคทีเรียในอาหารหมักและลำไส้ การขาดวิตามินเคพบน้อยหากได้รับอาหารครบถ้วน แต่พบได้ในทารกแรกเกิดหรือผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมไขมัน วิตามินเคจากธรรมชาติไม่เป็นพิษแม้รับประทานในปริมาณมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงวิตามินเคสังเคราะห์บางชนิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

บรรณานุกรม

  1. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  5. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
  6. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
  7. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (17 กุมภาพันธ์ 2563).
  8. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (17 กุมภาพันธ์ 2563).
  9. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา jsmu.edu. (17 กุมภาพันธ์ 2563).
  10. "Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา VIVO Pathophysiology (17 กุมภาพันธ์ 2563).
  11. Martin J. Shearer and Paul Newman. "Recent trends in the metabolism and cell biology of vitamin K with special reference to vitamin K cycling and MK-4 biosynthesis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J of Lipid Research. (17 กุมภาพันธ์ 2563).
  12. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Vitamin K." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).