ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์
(Sodium nitroprusside)
ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์เป็นยาที่ใช้หยดเข้าหลอดเลือดดำเท่านั้น ไม่มีรูปกิน ใช้เฉพาะกรณีความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤติที่มีข้อจำกัดมากมาย แม้จะมีโอกาสใช้น้อยมาก แต่ก็จัดเป็นยาจำเป็นในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ที่มาและการออกฤทธิ์:
โซเดียมไนโตรพรัสไซด์เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่ถูกค้นพบในห้องเคมีตั้งแต่ปีค.ศ. 1849 โดยการผสมผงโพแทสเซียมเฟอโรไซยาไนด์ (Potassium ferrocyanide) ลงในสารละลายกรดไนตริกเข้มข้น ทิ้งไว้ให้แห้ง 1 คืนจนได้ผลึกสีน้ำตาลแดง แล้วผสมผงโซเดียมคาร์บอเนตลงไปเพื่อกำจัดความเป็นกรด จากนั้นผ่านกระบวนการทำให้ร้อน ผสมน้ำล้าง กรอง และทำให้เย็น[1, 2] สุดท้ายจะได้ผลึกสีแดงรูปสามมิติที่แกนทั้งสามยาวไม่เท่ากัน (orthorhombic)[3] ที่มีคุณสมบัติลดความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว ในช่วงแรกโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ยังถูกใช้แต่ในห้องแล็บ โดยเป็นสารปรับมาตรฐาน (calibration) ของเครื่อง Mössbauer spectrometer, เป็นสารตรวจหา methyl ketones และ amines ในยาเสพติด, และเป็นสารทดสอบการขยายตัวของผนังหลอดเลือดในห้องปฏิบัติการสรีระวิทยา
โซเดียมไนโตรพรัสไซด์เพิ่งมาทดลองใช้ในมนุษย์เมื่อปีค.ศ. 1928 เนื่องจากยาแตกตัวเป็นไนตริกออกไซด์ (NO) และไซยาไนด์ (CN) เมื่อเข้าไปในร่างกาย ดังนั้นทั้งขนาดยาที่ปลอดภัย กลไกการทำงาน และผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจึงถูกตรวจสอบอย่างละเอียด แต่สุดท้ายยาก็ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ได้ในคนปกติ (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) กรณีต้องลดความดันโลหิตอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาชีวิต
ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์เมื่อหยดเข้าหลอดเลือดดำจะจับกับ oxyhemoglobin ในเลือดแล้วปล่อย methemoglobin, ไซยาไนด์และไนตริกออกไซด์ออกมา ตัวไนตริกออกไซด์นี่เองที่ไปออกฤทธิ์กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยไปกระตุ้นการสร้าง cGMP ที่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอดเลือด (จำเพาะที่หลอดเลือดดำมากกว่าหลอดเลือดแดง) ทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ ช่วยเร่งการสมานแผล กระตุ้นเซลล์เยื่อบุผิวให้หลั่งมูกออกมามากขึ้น ยับยั้งการหลั่งสารเคมีของการอักเสบ และลดการเกาะตัวกันของเม็ดเลือดขาว
ความจริงไนตริกออกไซด์เป็นสารที่ร่างกายหลั่งได้เองจากเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด มีหน้าที่ดังรูปข้างต้น ไนตริกออกไซด์ที่ได้รับจากภายนอกหากมีปริมาณมากไปจะทำให้หลอดลมหดตัว, เม็ดเลือดมี methemoglobin มากไปจนไม่ยอมปล่อยออกซิเจนให้เซลล์, เลือดออกง่ายขึ้น, น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น, และเป็นพิษต่อไต
ไซยาไนด์ที่ถูกปล่อยออกมาในเลือดจะจับกับ methemoglobin และ cytochromes แล้วถูกเก็บไว้ในเซลล์เม็ดเลือดแดงและไมโตคอนเดรีย (เช่นเดียวกับไซยาไนด์ที่ร่างกายเราได้รับจากอาหารและควันบุหรี่ในทุก ๆ วัน) หากสองส่วนนี้เต็ม (saturated) ไซยาไนด์อิสระจะทำปฏิกิริยากับ thiosulfate ที่ตับได้เป็น thiocyanate แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ
ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์มีระยะครึ่งชีวิตเพียง 2 นาที เมื่อหยุดให้จะหมดฤทธิ์ใน 10 นาที แต่กว่า thiocyanate จะถูกขับออกหมดในปัสสาวะใช้เวลาประมาณ 3 วันในผู้ป่วยไตปกติ และใช้ระยะเวลามากขึ้นในผู้ป่วยที่การทำงานของไตแย่ลง
การใช้ยาที่เหมาะสม
เนื่องจากโซเดียมไนโตรพรัสไซด์เป็นยาที่อันตรายมาก การใช้ยาควรทำในหอบริบาลผู้ป่วยหนักเสมอ โซเดียมไนโตรพรัสไซด์เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียร มีการย่อยสลายได้เมื่อถูกแสงสีขาวหรือสีน้ำเงิน ดังนั้นสารละลายยาจึงต้องบรรจุไว้ในขวดกันแสง
- ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
เริ่มแรกให้ขนาด 0.3 mcg/kg/min หยดเข้าหลอดเลือดดำ (ห้ามฉีดทีเดียว) ยาเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 30 วินาทีหลังให้ยา ปรับอัตราการหยดตามความดันโลหิตทุก 5 นาที สูงสุดไม่เกิน 10 mcg/kg/min (อัตราตั้งแต่ 2 mcg/kg/min จะเริ่มมีไซยาไนด์สะสมในเลือด อัตราที่เกิน 10 mcg/kg/min จะเกิดพิษของไซยาไนด์ภายใน 1 ชั่วโมง) ระหว่างที่ให้ยาต้องติดตามภาวะ metabolic acidosis และระดับของกรดแล็คติกในเลือดเป็นระยะ
เมื่อความดันลดลงแล้วก็ให้ยาลดความดันตัวอื่นเข้าไปทดแทนร่วมกับปรับลดอัตราการหยดของยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์จนหยุดได้
ไม่ควรใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับ และผู้ป่วยโรคไต
- ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันที่ความดันโลหิตยังไม่ต่ำมาก
โดยใช้ขนาดเดียวกับการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต ปรับขนาดลงเมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือความดันโลหิตลดต่ำลงมาก ร่วมกับให้ยาขับปัสสาวะเพื่อไล่น้ำที่ท่วมปอดทิ้ง
- ใช้รักษาภาวะ Ergotism
ภาวะ Ergotism เป็นอาการขาดเลือดที่อวัยวะส่วนปลายที่เกิดจากหลอดเลือดแดงหดตัว (arterial vasoconstriction) มักเกิดจากยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือด เช่น ยากลุ่ม Ergotamine ที่ใช้รักษาอาการปวดไมเกรน ยาต้านไวรัสเอดส์บางตัว หากภาวะนี้อยู่นานอาจมีผลทำให้อวัยวะส่วนปลายนั้นตาย ยาขยายหลอดเลือดจึงเข้ามามีบทบาท แต่จะเลือดใช้ตัวใดก็สุดแต่ความเหมาะสม
- ใช้รักษาและป้องกันภาวะหลอดเลือดสมองหดตัว (Cerebral Vasospasm)
ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นหลังเส้นเลือดสมองแตกชนิด subarachnoid hemorrhage ยาขยายหลอดเลือดสมองในกรณีนี้นอกจากโซเดียมไนโตรพรัสไซด์แล้วยังมียา Nimodipine ซึ่งปลอดภัยกว่า และยังมีทั้งแบบกินกับฉีด
- ใช้ลดความดันโลหิตขณะผ่าตัดหลอดเลือดแดงเอออร์ตา (Aortic surgery)
เช่นเดียวกัน ปัจจุบันมียาลดความดันที่ปลอดภัยกว่าใช้แทนโซเดียมไนโตรพรัสไซด์
- ใช้ขยายหลอดเลือดโคโรนารีหลัง PCI แล้วไม่ขยาย [6]
ร้อยละ 3-5 ของการทำ PCI (Percutaneous coronary interventions) จะเกิดปรากฏการณ์ "no reflow" คือเลือดไม่ไหลกลับเข้าเส้นเลือดที่ถ่างแล้ว แพทย์โรคหัวใจบางท่านจึงลองใช้โซเดียมไนโตรพรัสไซด์ช่วยทั้งในแง่ป้องกันและรักษา แต่ข้อบ่งใช้นี้ยังไม่เป็นมาตรฐานโดยทั่วไป
นอกจากข้อบ่งชี้ข้างต้นแล้ว ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ยังอาจได้ผลในโรคอื่น ๆ อีก เช่น จิตเภท (Schizophrenia) และมะเร็งกระเพาะอาหาร[6] แต่ยังเป็นแค่รายงานการศึกษา
ผลข้างเคียง พิษของยา และข้อควรระวัง
ยาโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ห้ามใช้ใน...
- ภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดจากการปรับตัวของร่างกาย เช่น โรคทางสมองที่มีความดันในกระโหลกศีรษะสูง, โรค Coarctation of aorta, ภาวะที่มี Arteriovenous shunt เป็นต้น
- ภาวะ Congenital optic atrophy ที่มีความผิดปกติของ mitochondrial DNA
- ภาวะ tobacco amblyopia ซึ่งมี cyanide/thiocyanate ratio ในเลือดสูงอยู่แล้ว
- ภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจาก high-output heart failure
- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
นอกจากนั้นยังต้องระวังการใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคตับร่วมด้วย เพราะการเปลี่ยน cyanide เป็น thiocyanate ก่อนขับออกทางปัสสาวะจะช้าลง ทำให้มีโอกาสเกิดพิษจาก cyanide สูงขึ้น
ไซยาไนด์ในเลือดหากมีมากเกินไปจะทำให้วิง
เวียน ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว อาเจียน ถ้าถึงระดับเป็นพิษจะมีอาการชัก หมดสติ หัวใจเต้นช้าจนหยุดเต้น เมื่อต้องให้โซเดียมไนโตรพรัสไซด์ในอัตราเร็วกว่า 2 mcg/kg/min อาจให้ sodium thiosulfate ขนาด 5-10 เท่าของโซเดียมไนโตรพรัสไซด์หยดคู่กันไปด้วย (ระวังอย่าหยดคู่กันนานเกินไป เพราะจะเกิดพิษของ thiocyanate ขึ้นมาอีก) หากเกิดพิษของไซยาไนด์ขึ้นมาจริง ๆ ต้องหยุดโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ทันที แล้วฉีดสารละลาย sodium nitrite 3% ปริมาณ 0.2 ml/kg เข้าหลอดเลือดดำช้า ๆ ในเวลา 2-4 นาที ยาจะไปเปลี่ยน hemoglobin ในเลือดให้กลายเป็น methemoglobin ประมาณ 10% ซึ่ง methemoglobin จะช่วยจับ cyanide อิสระได้มากขึ้นในระหว่างที่รอการฟอกเลือดเพื่อกำจัดพิษไซยาไนด์ออกไปจากร่างกาย (การฟอกเลือด หรือ hemodialysis ไม่สามารถกำจัดไซยาไนด์อิสระได้ แต่จะกำจัดไซยาไนด์ในรูปของ thiocyanate และ cyanmethemoglobin)
ภาวะ methemoglobin สูงในเลือดอาจพบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ในปริมาณมากกว่า 10 mg/kg หากมีอาการรุนแรงถึงขั้นออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำกว่า 92% ก็อาจให้ methylene blue ขนาด 1-2 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้า ๆ ก่อนส่งไปทำการฟอกเลือด เมื่อไซยาไนด์ถูกกำจัดออกไป สมดุลของ hemoglobin จะเข้าที่เอง
ภาวะ thiocyanate เป็นพิษมักพบในผู้ป่วยที่ไตเสื่อม ผู้ป่วยจะแสดงอาการหูอื้อ มีเสียงดังในหู ม่านตาเล็ก และรีเฟล็กซ์ไว ซึ่งควรจะหยุดการให้ sodium thiosulfate และลดความเร็วของโซเดียมไนโตรพรัสไซด์ตั้งแต่ตอนนี้ หากปล่อยให้ระดับ thiocyanate สูงขึ้นกว่า 1 mmol/L (60 mg/L) ผู้ป่วยจะปวดท้อง อาเจียน วิงเวียน เหงื่อแตก กล้ามเนื้อกระตุก ตัวแดง สับสน กระวนกระวาย ปวดศีรษะจากความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ซึมลง หัวใจเต้นช้า เพราะ thiocyanate รบกวนการดูดซับไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ด้วย จึงทำให้ต่อมสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้น้อยลง ถึงขั้นนี้ควรรีบกำจัดออกด้วยการฟอกเลือด ระดับที่สูงเกิน 180 mg/L อาจทำให้เสียชีวิตได้
บรรณานุกรม
- F. S. Hyde. 1897. "Preparation of Sodium Nitroprusside." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J. Am. Chem. Soc., 1897, 19 (1), pp 23–24. (2 พฤษภาคม 2561).
- "Sodium Nitroprusside." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (2 พฤษภาคม 2561).
- P. T. Manoharan, et. al. 1963. "The Crystal Structure of Sodium Nitroprusside." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Inorganic Chemistry. 1963 Oct; 2(5): 1043-1047. (1 พฤษภาคม 2561).
- "Nitroprusside." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา DrugBank. (2 พฤษภาคม 2561).
- "Sodium Nitroprusside." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Drugs.com. (3 พฤษภาคม 2561).
- Daniel G Hottinger, et. al. 2014. "Sodium nitroprusside in 2014: A clinical concepts review." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Anaesthesiol Clin Pharmacol. 2014 Oct-Dec; 30(4): 462–471. (1 พฤษภาคม 2561).
- "Nitroprusside sodium (Rx)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (3 พฤษภาคม 2561).