กลุ่มยารักษาโรคเกาต์ (Anti-Gout)

โรคเกาต์เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูงมากเป็นเวลานาน จนเกิดการตกผลึกสะสมอยู่ในข้อ ข้อที่โรคเกาต์ชอบมากที่สุดคือข้อนิ้วโป้งของเท้าทั้งสองข้าง รองลงมาคือข้อเท้า ผลึกที่สะสมอัดกันจนเป็นก้อนปูดออกมาที่ข้างข้อจะเรียกว่า "โทฟัส" (tophus) ถ้ามีหลายก้อนจะเรียกว่า "โทไฟ" (tophi)

กรดยูริกเป็นผลผลิตสุดท้ายของขบวนการเผาผลาญพิวรีน (purine metabolism) พิวรีนเป็นสารอินทรีย์ที่มีวงแหวนไนโตรเจนสองวงต่อกัน (pyrimidine and imidazole rings) และเป็นโครงสร้างสำคัญในสาย DNA และ RNA สองในสามของพิวรีนในร่างกายมาจากการสร้าง DNA และ RNA ภายในเซลล์เอง อีกหนึ่งในสามมาจากอาหารโปรตีนที่เรารับประทานเข้าไป พิวรีนที่ออกมาจากเซลล์ที่ตายแล้วและจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายมีขบวนการเปลี่ยนแปลงพิวรีนให้เป็นกรดยูริกโดยอาศัยเอนไซม์ Xanthine oxidase แล้วขับทิ้งทางไตเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุของกรดยูริกในเลือดสูงจึงเกิดได้จาก

  1. การที่เซลล์ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เช่น หลังการรับยาเคมีบำบัดในแต่ละรอบ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากยาหรือแพ้ภูมิตัวเอง โรคสะเก็ดเงิน สารพิวรีนในเซลล์ที่ตายทะลักออกมาในกระแสเลือด จนร่างกายต้องรีบเปลี่ยนเป็นกรดยูริกเพื่อกำจัดทิ้ง
  2. การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ปีก) ตับ อาหารทะเล ถั่วแทบทุกชนิด หน่อไม้ไทยและเทศ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ยอดผัก ฯลฯ
  3. ภาวะไตวาย จึงไม่สามารถขับของเสียในร่างกายออกได้หมด
  4. ยาหรือสารบางชนิดที่ลดการขับกรดยูริกทิ้งทางไต เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ยาขับปัสสาวะ แอสไพริน กรดนิโคตินิก cyclosporine, ethambutol, pyrazinamide, levodopa เป็นต้น
  5. ภาวะขาดน้ำและเลือดเป็นกรด ทำให้กำจัดกรดยูริกทิ้งทางไตได้น้อยลง เช่น lactic acidosis, ketosis, dehydration
  6. โรคทางพันธุกรรมแต่กำเนิดบางอย่าง รวมทั้งโรคต่อมไร้ท่อ ที่รบกวนการเผาผลาญพิวรีน เช่น HGPRT deficiency, APRT deficiency, PRPP synthetase overactivity, Glycogen storage diseases (types I, III, V, and VII), Hypothyroidism, Hyperparathyroidism เป็นต้น

เกณฑ์วินิจฉัยโรคเกาต์

ข้ออักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการใช้งานมากจนเกิดการบาดเจ็บของข้อ หรือเกิดความเสื่อมของข้อ มิได้เกิดจากโรคเกาต์เสมอไป การวินิจฉัยโรคเกาต์ก็มิใช่เพียงแค่ตรวจพบกรดยูริกในเลือดสูงเท่านั้น แต่จะต้องมีเกณฑ์อย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อ ดังต่อไปนี้

  • มีระดับกรดยูริกในเลือด > 7 mg/dL ในเพศชาย หรือ > 6 mg/dL ในเพศหญิง
  • มีก้อนโทไฟที่ข้างข้อ
  • พบผลึกของเกาต์ (monosodium urate crystals) ในน้ำไขข้อที่ปวดบวม หรือในก้อนโทไฟ
  • มีประวัติปวดข้อ ข้อบวมฉับพลัน และหายใน 2 สัปดาห์

ผู้ที่เริ่มเป็นโรคเกาต์มักยังไม่มีก้อนโทไฟให้เห็น และอาจไม่เคยมีประวัติปวดข้อมาก่อน หากระดับกรดยูริกในเลือดไม่สูงมาก หรือข้อที่อักเสบนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่พบบ่อยของเกาต์ คงจำเป็นต้องให้แพทย์เจาะน้ำไขข้อเพื่อวินิจฉัยแยกโรคเกาต์เทียมและโรคติดเชื้อในข้อ เพราะการรักษาไม่เหมือนกัน

กลุ่มยารักษาโรคเกาต์

ยารักษาโรคเกาต์จึงแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้

  1. กลุ่มยาที่ลดการอักเสบของข้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด บวม เวลาที่โรคกำเริบ ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine), ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs), และยากลุ่มสเตียรอยด์
  2. โคลชิซินเป็นยาบรรเทาอาการปวดเกาต์เฉียบพลันตัวแรกที่ควรใช้ และเป็นยาป้องกันการกำเริบของโรคเกาต์เรื้อรังเพียงตัวเดียว ยาตัวอื่นในกลุ่มนี้ไม่สามารถใช้ติดต่อกันนาน ๆ ในโรคเกาต์เรื้อรังได้

  3. กลุ่มยาที่ลดระดับกรดยูริกในเลือด เพื่อลดการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อ และลดการกำเริบของโรค ยากลุ่มนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
    • กลุ่มยาที่ลดการสร้างกรดยูริก โดยยับยั้งเอนไซม์ Xanthine oxidase เมื่อ Hypoxanthine ไม่ถูกเปลี่ยนเป็น Xanthine ก็จะถูกเอนไซม์ HGPRT เปลี่ยนกลับไปเป็น Inosine และกลับไปใช้สร้าง DNA, RNA ภายในเซลล์ตามเดิม ตัวอย่างยากลุ่มนี้ได้แก่ Allopurinol, Febuxostat
    • กลุ่มยาที่เพิ่มการขับกรดยูริกออกทางไต ได้แก่ Probenecid, Benzbromarone, Sulfinpyrazone

ความจริงกลุ่มยาลดกรดยูริกในเลือดยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่สลายกรดยูริกไปเป็น Allantoin แล้วขับออกทางปัสสาวะ แต่ยากลุ่มนี้เป็นยาฉีด และใช้รักษากลุ่มอาการเซลล์มะเร็งแตกสลายฉับพลัน (Tumor lysis syndrome) หลังได้รับยาเคมีบำบัด ไม่ได้ใช้ลดกรดยูริกในโรคเกาต์ทั่วไป จึงจะไม่ขอกล่าวถึงในเมนูยารักษาโรคเกาต์ของเรา ตัวอย่างยากลุ่มนี้ได้แก่ Pegloticase, Rasburicase


บรรณานุกรม

  1. Naomi Schlesinger. 2005. "Diagnosis of Gout: Clinical, Laboratory, and Radiologic Findings." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา AJMC. (11 มกราคม 2565).
  2. "10.1.3 Drugs for treatment of Gout and hyperuricaemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (11 มกราคม 2565).
  3. "Gout Treatment and Prevention." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Healthline. (11 มกราคม 2565).