สารสื่อประสาทที่หลั่งมาจากปลายประสาทซิมพาเธติกของเราจะต้องจับตัวรับอัลฟา (α-receptors) หรือเบตา (β-receptors) ตามอวัยวะต่าง ๆ จึงจะทำงานได้ ตัวรับเบตาในร่างกายเรามี 3 ประเภท คือ
ยาปิดตัวรับเบตา คือ ยาที่ไปแย่งจับกับตัวรับเบตาก่อนที่สารสื่อประสาทจะจับและทำงานได้ ผลคือทำให้อวัยวะข้างต้นทำงานในทิศทางตรงกันข้าม เช่น หัวใจเต้นช้าลง บีบตัวอ่อนลง ไตหลั่งเรนินลดลง หลอดลมตีบ มดลูก/กระเพาะปัสสาวะ/หลอดเลือด/ม่านตาหดตัว ทางเดินอาหารบีบตัวแรงขึ้น เกิดการสะสมไขมันที่ตับและที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
กลุ่มยาปิดตัวรับเบตานี้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปีค.ศ. 1958 ปัจจุบันมีข้อบ่งใช้อย่างกว้างขวางตั้งแต่โรคหัวใจ ความดัน ต้อหิน ตับแข็ง ภาวะมือสั่น ไมเกรน ไปจนถึงภาวะเครียด เซอร์ เจมส์ แบล็ก (Sir James Black) ผู้คิดค้นยาตัวแรกของกลุ่มนี้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ในอีก 30 ปีถัดมา ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว แต่ผลงานของท่านได้ช่วยรักษาชีวิตมนุษย์ไว้เป็นจำนวนมาก
ยาปิดตัวรับเบตามีชื่อลงท้ายด้วย "-lol" หมด ตัวต้นแบบคือ Propranolol ยาอาจจำแนกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ปิดตัวรับเบตาทุกชนิด (Non-selective) และกลุ่มที่เลือกปิดเฉพาะตัวรับ β1 (β1-selective) กลุ่มหลังนี้ช่วยลดผลข้างเคียงเรื่องเหนื่อยหอบจากหลอดลมตีบจากการปิดตัวรับ β2 ลง ทำให้ผู้ป่วยโรคหอบหืด ถุงลมโป่ง หรือปอดผิดปกติอยู่ก่อนสามารถใช้ยากลุ่มนี้ได้ปลอดภัยขึ้น
ยาแต่ละตัวภายในกลุ่มยังมีความแตกต่างในรายละเอียดอีกมาก อาทิ บ้างมีฤทธิ์กระตุ้นตัวรับเบตาอ่อน ๆ ด้วย (Intrinsic sympatomimetic activity, ISA) พวกที่มี ISA จึงไม่กดหัวใจมากนัก เหมาะกับผู้ป่วยที่หัวใจทำงานไม่ค่อยดีหรือเต้นช้าอยู่ก่อนแล้ว, บ้างมีฤทธิ์ปิดตัวรับอัลฟา (α1) ด้วย ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ความดันจึงลดลงได้มากขึ้น, บ้างมีฤทธิ์ปิดช่องโซเดียมที่ผิวเซลล์ (Membrane stabilizing activity, MSA) ทำให้ลดการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าและการเคลื่อนเข้า-ออกเซลล์ของอิออนทั้งหมด จึงยับยั้งการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติลงได้, และบ้างเป็นยาที่ละลายได้ดีเฉพาะในน้ำ (hydrophilic) หรือเฉพาะในไขมัน (lipophilic) ยาตัวที่ละลายได้ดีในน้ำจะผ่านเข้าสูงสมองได้น้อย จึงมีผลรบกวนการนอนและทำให้เกิดฝันร้ายน้อยลง แต่ยาพวกนี้จะถูกขับออกทางไตเป็นหลัก หากใช้กับผู้ที่มีไตเสื่อมอาจเกิดการสะสมของยาได้ จึงจำเป็นต้องลดขนาดยาลง
นอกจากนั้นยาบางตัวยังมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ยา Sotalol จะปิดช่องโพแทสเซียมที่หัวใจด้วย ทำให้โพแทสเซียมในเซลล์ไหลออกได้ช้าหรือไม่ได้ ทำให้ระยะเวลาการคลายตัวของหัวใจห้องล่าง (ventricle) ยืดยาวขึ้น ก่อนที่จะบีบตัวอีกครั้งเมื่อรับสัญญาณไฟฟ้ารอบใหม่
- ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
ยากลุ่มนี้ไม่เป็นยาตัวแรกในการเริ่มรักษาตามแนวทางมาตรฐาน JNC-7 แต่มีแพทย์หลายท่านไม่เห็นด้วย ผู้ป่วยที่ตอบสนองดีต่อยากลุ่มนี้ได้แก่ ผู้ที่เริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุยังน้อย (< 40 ปี), มีชีพจรพื้นฐานค่อนข้างเร็ว (> 90 ครั้ง/นาที), มีผนังหัวใจห้องล่างซ้ายหนา, มีหัวใจโต, มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด/ตาย หรือมีภาวะหัวใจล้มเหลว ขณะเดียวกันยาก็ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคทางหลอดลมหรือโรคปอดอยู่ด้วย
ฤทธิ์ลดความดันของยากลุ่มนี้มาจากการลดแรงบีบและอัตราการบีบตัวของหัวใจเป็นหลัก เมื่อหัวใจทำงานน้อยลง ภาวะหัวใจขาดเลือด/ล้มเหลวก็จะดีขึ้นด้วย ยารุ่นใหม่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดด้วย จึงไม่ต้องใช้ขนาดสูงที่อาจกดหัวใจมากเกินไป
- ใช้รักษาและป้องกันภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
ยากลุ่มนี้เป็นทางเลือกแรกในการรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งจากห้องบน Supraventricular tachycardia (SVT) และห้องล่าง Ventricular tachyarrhythmias (VT) อีกทั้งยังใช้ป้องกันการเกิด SVT, VT ซ้ำในผู้ป่วยที่รอดตายจากภาวะดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง
ภาวะที่ใช้ยาปิดตัวรับเบตารักษาได้แก่ VT storms, Atrial Fibrillation, กลุ่มอาการ Long QT, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติในคนท้อง/ผู้ป่วยโรคหัวใจแต่กำเนิด/ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจต่าง ๆ/ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ/ผู้ป่วยที่ได้รับยาขยายหลอดลม Theophylline เกินขนาด ฯลฯ ยาตัวที่นิยมใช้ในกรณีเหล่านี้คือ Esmolol, Sotalol, และ Landiolol (ยาตัวหลังไม่มีข้อบ่งใช้อย่างอื่น)
การใช้ยาปิดตัวรับเบตาร่วมกับยาดิจ๊อกซินในผู้ป่วยที่มี Atrial Fibrillation ต้องระวังการเสริมฤทธิ์กันจนเกิด heart block ได้
- ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
หลักการคือการให้ยาที่ลดการทำงานของหัวใจลง เพื่อให้หัวใจที่ทำงานไม่ค่อยไหวแล้วได้พัก ที่สำคัญคือภาวะหัวใจล้มเหลวนั้นต้องมีอาการคงที่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยที่ยังมีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เช่น มีน้ำท่วมปอด ความดันตก และห้ามใช้ในรายที่มีภาวะ heart block ตั้งแต่ second degree ขึ้นไป ยาตัวที่มีผลการศึกษาระบุว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ได้แก่ Carvedilol, Metoprolol, Bisoprolol, และ Nebivolol
- ใช้รักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (ร่วมกับยาอื่น)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่ไม่เหมาะจะใช้ยาปิดตัวรับเบตาคือ มีภาวะหัวใจล้มเหลวที่ยังควบคุมไม่ได้ มีภาวะหัวใจเต้นช้า มีความดันเลือดต่ำ มีโรคทางเดินหายใจอุดกั้น (COPD) นอกจากภาวะเหล่านี้แล้ว การใช้ยาปิดตัวรับเบตาร่วมกับยาอื่น ๆ ในภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันพบว่าสามารถลดอัตราการกลับเป็นซ้ำของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดได้ ยาที่มีการศึกษาในข้อบ่งใช้นี้คือ Acebutolol, Atenolol, Metoprolol, Propranolol, และ Timolol
- ใช้รักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (angina) (ร่วมกับยาอื่น)
ด้วยฤทธิ์ที่ลดการทำงานของหัวใจจึงทำให้ผู้ป่วย angina ออกกำลังได้ดีขึ้น และช่วยบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วยได้ ประเภทของ angina ที่ไม่เหมาะจะใช้ยาปิดตัวรับเบตาคือ Prinzmetal angina (หัวใจขาดเลือดขณะพัก) เพราะเกิดจากหลอดเลือดแดงโคโรนารีหดตัวในบางขณะ ไม่เกี่ยวกับการที่หัวใจทำงานมากเกินไป
- ใช้ควบคุมอาการสั่นในภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
การให้ Propranolol สามารถบรรเทาอาการของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้ภายใน 4 วัน แต่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการทำงานของต่อมไทรอยด์ ผู้ป่วยยังคงต้องใช้ยากดการทำงานของต่อม ± การผ่าตัด ± รังสีรักษา ยาปิดตัวรับเบตามักใช้เตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดต่อมไทรอยด์ เพื่อไม่ให้เกิด thyroid storm ในระหว่างผ่าตัด และเพื่อให้เลือดมาเลี้ยงต่อมไทรอยด์น้อยลง การตัดต่อมจึงทำได้ง่ายขึ้น
ขนาดยาในผู้ใหญ่คือ 10-40 mg ทุก 6-8 ชั่วโมง ในเด็กใช้ขนาด 2 mg/kg/day แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง ** ห้ามหยุดยาปิดตัวรับเบตาอย่างกะทันหันในขณะรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะ Thyroid storm ได้
- ใช้เตรียมการผ่าตัดในผู้ป่วยโรค Pheochromocytoma
โรคเนื้องอกที่หลั่งสาร catecholamines นี้จำเป็นต้องผ่าตัดจึงจะหายขาด การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดจะต้องให้ยาปิดตัวรับอัลฟา เช่น Phenoxybenzamine เพื่อลดความดันโลหิตไปสัก 1-2 สัปดาห์ก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มยาปิดตัวรับเบตาเพื่อลดการตอบสนองของหัวใจต่อสาร catecholamines ห้ามให้สลับกัน เพราะยาปิดตัวรับเบตาจะไปทำให้ catecholamines กระตุ้นตัวรับอัลฟาที่เหลืออยู่อย่างแรงจนความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤติ
- ใช้รักษาโรคต้อหิน (Glaucoma)
ยาปิดตัวรับเบตาชนิดหยอดตาสามารถลดความดันลูกตาได้ ส่วนใหญ่จะใช้ Betaxolol, Carteolol, Levobunolol, Metipranolol, หรือ Timolol ร่วมกับยา Dorzolamide ซึ่งเป็น carbonic anhydrase inhibitor ในการรักษาโรคต้อหิน
- ใช้ป้องกันโรคไมเกรน
โรคไมเกรนที่ควรพิจารณาใช้ยาป้องกันกินไปตลอดต้องเป็นชนิดที่
- เป็นบ่อย ≥ 2 ครั้ง/เดือน และ เป็นมากจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย ≥ 3 วัน/เดือน
- ไม่ตอบสนองต่อยาที่ใช้รักษา หรือไม่สามารถใช้ยารักษาได้เมื่อเกิดอาการ
- ต้องกินยาป้องกันบ่อย ≥ 3 ครั้ง/สัปดาห์
- เป็นไมเกรนที่มีอาการอัมพาตครึ่งซีก (hemiplegic migraine)
ยาที่ใช้ป้องกันอาการไมเกรนกำเริบมีหลายตัว เช่น Amitriptyline, Divalproex, Propranolol, Metoprolol, Timolol, Topiramate, Valproic acid, Naproxen, Lisinopril, Candesartan เป็นต้น ยาทั้งหมดนี้ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และมีแต่ Propranolol ตัวเดียวที่มีการศึกษาว่าปลอดภัยในเด็ก
- ใช้บรรเทาอาการมือสั่นชนิดหาสาเหตุไม่ได้ (Essential tremor)
อาการมือสั่นต้องตรวจหาสาเหตุให้ครอบคลุมก่อน เช่น เป็นผลข้างเคียงจากยา (โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อจิตประสาท), ภาวะหวาดกลัว, พิษสุรา, โรคไทรอยด์เป็นพิษ, โรคพาร์กินสัน, โรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เมื่อหาสาเหตุไม่ได้แล้วจึงค่อยพิจารณาใช้ยาบรรเทาอาการ ยาที่ใช้คือ Propranol ขนาด 20-60 mg/วัน
- ใช้รักษาภาวะตับแข็งที่มีท้องมาน (น้ำในท้อง) แล้ว
มีการศึกษาพบว่ายาปิดตัวรับเบตาชนิดไม่เลือดกลุ่ม (Non-selective β-blockers) เช่น Propranolol, Nadolol, Carvedilol ในผู้ป่วยตับแข็ง จะช่วยลดแรงดันเลือดในหลอดเลือดดำพอร์ทัล และยับยั้งการหลั่งเรนิน ซึ่งจะช่วยลดการเกิดน้ำในช่องท้อง และความเสี่ยงของการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารลง [1], [2]
- ใช้ชะลอการโป่งของหลอดเลือดแดงเอออร์ตาในผู้ป่วย Marfan syndrome
กลุ่มอาการมาร์แฟนจะมีความอ่อนแอของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันตั้งแต่เกิด เด็กอาจมีผนังหัวใจหรือลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่ยังเล็ก ๆ และมักมีภาวะหลอดเลือดแดงเอออร์ตาโป่งหรือฉีกขาดง่ายเมื่ออายุมากขึ้น พบว่าการใช้ยา Atenolol หรือ Propranolol ในระยะยาวช่วยชะลอการโป่งของหลอดเลือดแดงเอออร์ตาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ [3] (แม้จะยังไม่ทราบกลไกของยา)
- ใช้ลดการทำงานของหัวใจในภาวะหลอดเลือดแดงเอออร์ตาฉีกขาด (Acute aortic dissection)
ภาวะนี้เป็นภาวะร้ายแรง มีอัตราการตายสูงมาก หลักการคือต้องลดการทำงานของหัวใจและลดความดันโลหิตลง เพื่อมิให้เลือดเซาะผนังหลอดเลือดจนขาดต่อไปอีกก่อนที่จะผ่าตัดแก้ไข ยาปิดตัวรับเบตาที่ใช้มักให้ทางหลอดเลือด เช่น Labetalol, Propranolol, Esmolol ร่วมกับ การหยด Sodium nitroprusside เพื่อลดความดันโลหิต
- ใช้บรรเทาอาการลิ้นหัวใจไมตรัลปูด (Mitral valve prolapse)
ภาวะลิ้นหัวใจไมตรัลปูดที่มีอาการแต่ยังไม่พร้อมผ่าตัดอาจใช้ยาปิดตัวรับเบตาช่วยป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ลดแรงดันเลือดและลดการทำงานของหัวใจลง
- ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาจนหัวใจล้มเหลว (Hypertrophic obstructive cardiomyopathy, HCM)
โรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักพบในเพศชาย การหนาตัวของผนังหัวใจจะค่อย ๆ เกิดตั้งแต่เด็ก อาการจะเริ่มเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น-วัยหนุ่ม โดยจะมีอาการใจสั่น แน่นอก วิเวียนเป็นลม เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเวลาออกกำลัง หลายคนเสียชีวิตกระทันหันจากการเล่นกีฬา การรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในระยะแรกอาจใช้ยาปิดตัวรับเบตาหรือยาปิดกั้นช่องแคลเซียมลดการทำงานของหัวใจ แต่เมื่อโรคเป็นมากขึ้นจำเป็นต้องผ่าตัดเอากล้าเนื้อที่หนาออกบางส่วน
- ใช้รักษากลุ่มอาการใจสั่นเวลาลุกขึ้นยืนจากท่านอน (Postural orthostatic tachycardia syndrome, POTS)
ภาวะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ เพราะตรวจไม่พบความดันเลือดต่ำ แต่จะมีหัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่า 30 ครั้ง/นาที ภายใน 10 นาทีหลังลุกขึ้นจากท่านอน จนมีอาการใจสั่น วิงเวียน ตาพร่า คิดช้า หรืออาจถึงขั้นอ่อนแรง กรณีที่หาสาเหตุอื่นไม่พบ ยาปิดตัวรับเบตาอาจช่วยบรรเทาอาการได้
- ใช้รักษาโรคเหงื่อออกมากที่ไม่ทราบสาเหตุ (Hyperhidrosis)
กรณีที่ตรวจไม่พบสาเหตุอื่น (แม้กระทั่งอารมณ์แปรปรวน) ยาปิดตัวรับเบตาอาจช่วยได้ดีกว่ากลุ่มยาทางจิตประสาท
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มนี้ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นช้า เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตต่ำ หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก มีอาการคล้ายหอบหืด ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน มดลูกบีบรัดตัวมาก อ่อนเพลีย เป็นตะคริว ฝันร้าย ประสาทหลอน วิงเวียน ซึมเศร้า ไขมันในเลือดชนิดเฮชดีแอล (HDL) ลดต่ำลง ในขณะที่ไขมันชนิดแอลดีแอล (LDL) เพิ่มสูงขึ้น เหงื่อออกมาก บวมตามผิวหนัง และระคายเคืองตา
ยากลุ่มนี้อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำได้ เนื่องจากมันลดการสร้างอินสุลินที่ตับอ่อน จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเมื่อร่างกายรับประทานอาหารปกติ ขณะเดียวกันก็ยับยั้งการสลายไกลโคเจนที่ตับและไขมันที่เนื้อเยื่อ จึงมีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลต่ำเมื่อเราอดอาหาร คนไข้เบาหวานที่ใช้ยากลุ่มนี้อาจทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับกลุ่มยาขับปัสสาวะชนิดไทอะไซด์
นอกจากนี้กลุ่มยาปิดตัวรับเบตาอาจขัดขวางการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง และจังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง และยายังสามารถผ่านน้ำนมได้ หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตรที่ใช้ยากลุ่มนี้ต้องระวังผลของยาที่จะเกิดกับทารกด้วย