กลุ่มยาสลายลิ่มเลือด (Fibrinolytics or Thrombolytics)
ตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายสร้างก้อนเลือดมาอุดหลอดเลือดที่ฉีกขาดแล้ว จะมีขบวนการสลายก้อนเลือดเหล่านั้นเอง ขบวนการสลายลิ่มเลือดหรือก้อนเลือดเรียกว่า Fibrinolysis (หรือ Thrombolysis) โดยเริ่มจาก tissue plasminogen activator (t-PA) ที่สร้างจากผนังหลอดเลือด รวมทั้ง urokinase plasminogen activator (u-PA) ที่สร้างจากไต จะไปกระตุ้น plasminogen ให้เป็น plasmin จากนั้นพลาสมินจะย่อยสลาย fibrin clot ให้เป็น fibrinogen degradation products (FDPs) แต่บางครั้งลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นไปอุดหลอดเลือดขนาดเล็กแต่สำคัญ เช่น หลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมอง ขบวนการสลายลิ่มเลือดเกิดขึ้นไม่ทัน การแพทย์จึงผลิตยาสลายลิ่มเลือด ซึ่งเป็นยาฉีด และมีอันตรายมาก มาใช้ในสถานการณ์คับขันที่ผู้ป่วยต้องยอมรับความเสี่ยงได้ (หากยอมรับไม่ได้แพทย์จะไม่ฉีดให้)
กลุ่มยาสลายลิ่มเลือดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่ม Tissue plasminogen activators ได้แก่ Alteplase, Retaplase, Tenecteplase ยาเหล่านี้สร้างจากเทคนิค recombinant DNA ออกฤทธิ์คล้าย t-PA ในร่างกายคนเรา คือ จะกระตุ้น plasminogen ได้ดี เมื่อทั้งคู่จับอยู่กับ fibrin clot จึงจํากัดฤทธิ์ของ plasmin อยู่ที่บริเวณที่มีการเกิด clot เท่านั้น ไม่สลาย fibrinogen ในกระแสเลือดเหมือนอย่างอีก 2 กลุ่มข้างล่าง โอกาสเกิดเลือดออกผิดปกติจึงน้อยกว่า
ยากลุ่มนี้มักใช้ใน acute myocardial infarction, cerebrovascular thrombotic stroke, life-threatening pulmonary embolism, acute limb ischemia และ deep vein thrombosis ที่ไม่ได้ผลดีจากการใช้เฮพารินอย่างเดียว ยา Alteplase อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทยในบัญชี ง. คือต้องมีแพทย์เฉพาะทางเป็นผู้สั่งใช้ภายใต้มาตรการกำกับของโรงพยาบาล
- กลุ่ม Streptokinase และ Anistreplase เป็นสารที่ผลิตจากแบคทีเรียกลุ่มสเตร็ปโตค็อกคัส มีฤทธิ์กระตุ้น plasminogen ให้เป็น plasmin ได้ ยามีราคาไม่แพงนัก จึงอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย มีข้อบ่งใช้เหมือนยากลุ่มแรก Streptokinase อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น มีไข้ ได้ เพราะไม่ใช่สารประกอบของมนุษย์โดยตรง
- กลุ่ม Urokinase plasminogen activators ได้แก่ Urokinase, Prourokinase มีที่ใช้น้อยเพราะราคาแพงและผลข้างเคียงมาก แต่อาจใช้ในกรณี life-threatening pulmonary embolism ยาตัวนี้ไม่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย
ข้อห้ามในการใช้ยาสลายลิ่มเลือด
เนื่องจากยาอันตรายมาก เราจึงไม่ลงในรายละเอียดของขนาดยาและวิธีใช้ยาแต่ละตัว แต่จำเป็นต้องกล่าวถึงข้อห้ามในการใช้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยตระหนักว่า ไม่ใช่การเจ็บป่วยทุกครั้งจะมียารักษาได้
ข้อห้ามเด็ดขาด
- เพิ่งมีเลือดออกในกะโหลกศีรษะมาไม่นาน (3-6 เดือน)
- เพิ่งมีสมองขาดเลือด หรือมีหลอดเลือดสมองอุดตันมาไม่ถึง 3 เดือน
- เพิ่งมีการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือใบหน้าชนิดรุนแรง มาไม่ถึง 3 เดือน
- เพิ่งได้รับการผ่าตัดสมองหรือกระดูกสันหลังมาไม่นาน (3-6 เดือน)
- เพิ่งได้รับยาสลายลิ่มเลือดชนิด Streptokinase มาไม่ถึง 6 เดือน
- มีหลอดเลือดในสมองผิดปกติ เช่น AVM
- มีเนื้องอกในกะโหลกศีรษะ
- สงสัย aortic dissection
- กำลังมีเลือดออกผิดปกติ (ยกเว้นระดู)
- ความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้
ข้อห้ามไม่เด็ดขาด (อาจใช้ได้ถ้าจำเป็นจริง ๆ)
- เคยมีประวัติความดันโลหิตสูงมาก
- ความดันโลหิตค่าบน > 180 mmHg หรือค่าล่าง > 110 mmHg
- ได้รับการปั๊มหัวใจมาเกิน 10 นาที
- เพิ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าท้อง ผ่าเข่า มาไม่ถึง 3 สัปดาห์
- มีประวัติเป็นอัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบ
- เป็นโรคสมองเสื่อม
- เพิ่งมีเลือดออกผิดปกติมาไม่ถึง 3 สัปดาห์
- เจาะเลือดแล้วเลือดยังซึมไหลอยู่นาน กดแล้ว 5 นาทียังไม่หยุดไหล
- มีครรภ์
- มีแผลในกระเพาะ
- ตรวจค่าการแข็งตัวของเลือด พบ PT > 15 sec หรือ INR > 1.7
ผู้ป่วยกลุ่มที่เข้ารับการรักษาด้วยยาสลายลิ่มเลือดจะต้องอยู่ในหอผู้ป่วยหนักเพื่อสังเกตอาการผิดปกติอย่างน้อย 2 วัน หากมีเลือดออกผิดปกติอาจใช้ยาต้านการสลายลิ่มเลือด (antifibrinolytics) เช่น tranexamic acid, aminocaproic acid รวมทั้ง vitamin K และ FFP แก้
บรรณานุกรม
- Muhammad U. Baig & Jeffrey Bodle. 2021. "Thrombolytic Therapy." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา StatPearls. (18 ตุลาคม 2564).
- Wanda L Rivera-Bou. 2021. "Thrombolytic Therapy." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (18 ตุลาคม 2564).
- "THROMBOLYTICS." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา adph.org. (18 ตุลาคม 2564).