เนื้องอกที่มดลูก (Uterine tumors)
มดลูกเป็นอวัยวะที่ตั้งอยู่ในอุ้งเชิงกราน บริเวณท้องน้อย ระหว่างกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ตรง ลักษณะคล้ายผลชมพู่คว่ำ มีโพรงตรงกลาง โพรงส่วนบนกว้างเรียกว่า ตัวมดลูก ซึ่งเป็นที่ให้ทารกฝังตัวและเจริญเติบโต โพรงส่วนล่างคอดเข้าหากัน และมีผนังหนาแข็งแรงมาก เรียกว่า ปากมดลูก เพื่อกันไม่ให้ทารกที่ยังไม่โตเต็มที่หลุดออกมา
ตัวมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น ชั้นในสุดของมดลูกเรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) ซึ่งในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ชั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน โดยจะหนาตัวขึ้นทุกเดือนเพื่อรอรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว หากเดือนใดไม่มีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกจะสลายตัวออกมาเป็นประจำเดือน (ระดู) มะเร็งของมดลูกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชั้นเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ จึงเรียกว่า Endometrial cancer
ชั้นนอกสุดของมดลูกเป็นชั้นกล้ามเนื้อ (Myometrium) จะขยายตัวได้มากขณะตั้งครรภ์ เพื่อรองรับเด็กที่เจริญเติบโต เนื้องอกไม่ร้ายมะเร็งของมดลูกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชั้นเยื่อกล้ามเนื้อนี้ จึงเรียกว่า Myoma uteri หรือ Leiomyoma หรือ Uterine fibroid
เนื้องอกไม่ร้ายของมดลูก (Leiomyoma)
เนื้องอกไม่ร้ายของมดลูก หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ทั่วไปว่า "มัยโอม่า" พบได้บ่อยกว่ามะเร็งมดลูก ประมาณกันว่าในหญิงวัยเจริญพันธุ์ 4 ราย จะมี 1 รายที่มีมัยโอม่าเกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง
สาเหตุของการเกิดมัยโอม่ายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการเติบโตของมันมีความสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน ในขณะตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับที่สูงขึ้น ก้อนจึงมักจะโตขึ้น แล้วก็ยุบลงไปเองได้หลังคลอดแล้ว เช่นเดียวกับในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดต่ำลงมาก มัยโอม่าที่มีอยู่ก็มักจะฝ่อตัวเล็กลงไปในวัยนี้
ก้อนมัยโอม่าสามารถเกิดได้ทั้งในชั้นกล้ามเนื้อ (intramural) ของมดลูก, ที่ผิวด้านนอก (subserosa) ของมดลูก, หรือใต้เยื่อบุโพรงมดลูก (submucosa) ก็ได้ และการโตของมันก็อาจจะโตออกด้านนอกหรือโตเข้ามาในโพรงมดลูกก็ได้ และอาจเกิดเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนพร้อม ๆ กันก็ได้ เนื้องอกชนิดนี้ไม่มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นมะเร็ง
อาการและการวินิจฉัย
ในช่วงที่ก้อนมัยโอม่ายังเล็กมักไม่มีอาการอะไร แต่เมื่อมันโตขึ้นก็อาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ปวดท้องน้อยอยู่เรื่อย ๆ ไม่หายไปเสียทีแม้ระดูจะหยุดไปแล้ว
- ช่วงที่มีระดูจะมีเลือดออกมาก และปวดท้องมาก
- มีเลือดออกกระปริดกระปรอยระหว่างรอบเดือน ซึ่งนานไปจะทำให้มีภาวะโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก เพราะสูญเสียธาตุเหล็กออกไปเรื่อย ๆ จากการตกเลือดเรื้อรัง
- ปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์
- คลำก้อนได้ที่ท้องน้อยตรงตำแหน่งของมดลูก
- ปัสสาวะแต่ละครั้งออกได้ไม่หมด ซึ่งไม่นานก็จะรู้สึกอยากปัสสาวะอีก
- มีบุตรยากและแท้งบุตรง่าย
มัยโอม่าในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์มากนัก แต่อาจเพิ่มโอกาสที่จะต้องผ่าท้องคลอดมากขึ้นเท่านั้นถ้าก้อนโตเข้ามาในโพรงมดลูก เพราะทารกอาจอยู่ผิดท่าหรือก้อนขวางทางออกของทารก
การวินิจฉัยอาศัยการตรวจภายใน การตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด และการทำ MRI หากผลอัลตราซาวด์ไม่สามารถชี้ชัด
แนวทางการรักษา
- การสังเกตอาการ กรณีที่เนื้องอกยังไม่ได้ทำให้เกิดความผิดปกติใดใดกับร่างกายก็อาจเลือกที่จะรอให้ก้อนฝ่อตัวลงไปเอง โดยการทำอัลตราซาวด์ซ้ำทุก 3-6 เดือน
- การใช้ยา ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถจะรักษาเนื้องอกมัยโอม่าให้หายขาดได้ แต่อาจใช้ยา gonadotrophin-releasing hormone (GnRH) analogue ที่ทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายลดลง เพื่อให้ก้อนลดขนาดลงชั่วคราว แต่ก็มีผลเสียคือทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วจนอาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยาตัวนี้นานเกิน 6 เดือน นอกจากนั้น อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวดประจำเดือน หรือใช้ฮอร์โมน Levonorgestrel ในรูปของห่วงอนามัยใส่เข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลงและลดปริมาณประจำเดือนลงในระหว่างที่สังเกตอาการ
- การผ่าตัด การตัดมดลูกทิ้งเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ใช้กันมานาน และเป็นวิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน แต่ก็เหมาะสมเฉพาะผู้ที่บุตรเพียงพอแล้ว ในรายที่ยังต้องการมีบุตรอีกในอนาคตอาจตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy) แต่ก็มักจะทำให้มีการเสียเลือดมากในระหว่างผ่าตัด และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้บ่อย
- การอุดหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก (Uterine artery embolisation) วิธีนี้ทำโดยรังสีแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง โดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาแล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงมดลูก แล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงเฉพาะก้อนเนื้องอก โดยอาศัยภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ช่วยนำทางในการสอดสายสวน จากนั้นจึงฉีดสารที่ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก ทำให้ก้อนเนื้องอกขาดเลือดและลดขนาดลงในที่สุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาประมาณ 6-9 เดือน
- การทำลายก้อนด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้ Laser หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำทำลายก้อนเนื้องอก ผ่านเข็มที่แทงเข้าไปในก้อนขณะที่ใช้ MRI ช่วยในการระบุตำแหน่ง แต่วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับเนื้องอกมดลูกทั้งหมด และในปัจจุบันประโยชน์และโทษจากการรักษาด้วยวิธีนี้ก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจน
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer)
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นโรคของผู้ใหญ่ มักพบในอายุตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป (มีเพียง 5% ที่พบในอายุต่ำกว่า 40 ปี) โดยพบได้สูงขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว
ชนิดของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ชนิดที่ 1 (Endometrial cancer type I) เซลล์มะเร็งเป็นชนิด Endometrioid มีการแบ่งตัวต่ำ (Grade 1) ไม่ค่อยรุกรานเข้าไปในผนังมดลูกชั้นกล้ามเนื้อ การโตสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงมักพบในหญิงวัยใกล้หมดหรือเพิ่งหมดประจำเดือน มีการพยากรณ์โรคค่อนข้างดี ชนิดนี้พบเป็นส่วนใหญ่ (75-80%)
- ชนิดที่ 2 (Endometrial cancer type II) เซลล์มะเร็งมักเป็นชนิด clear cells และ serous cells มีการแบ่งตัวสูง (Grade 3) และมักรุกรานเข้าผนังมดลูกชั้นกล้ามเนื้อ เป็นชนิดที่มีการพยากรณ์โรคเลวกว่าชนิดที่ 1 มาก ก้อนโตไม่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน มักพบในผู้สูงอายุ ในวัยที่หมดประจำเดือนไปนานแล้ว
สตรีที่มีความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงครึ่งหลังของชีวิต ได้แก่
- สตรีที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญมากผิดปกติ ซึ่งมักทำให้มีประจำเดือนมามาก หรือบ่อยเกินไป หรือออกกะปริดกะปรอย
- มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น มีคนในครอบครัวสายตรงเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และ/หรือโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือตัวเองเคยเป็นมะเร็งเต้านม และ/หรือ มะเร็งรังไข่มาก่อน
- สตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์ หรือมีบุตรน้อยเพียง 1-2 คน
- สตรีที่เริ่มมีระดูก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดระดูหลังอายุ 55 ปี
- สตรีที่ทานยาฮอร์โมนเพศหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว
- สตรีที่มีน้ำหนักตัวเกิน (เพราะเซลล์ไขมันสามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้), ทานอาหารไขมันสูงต่อเนื่องเป็นประจำ, เป็นโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ทานสมุนไพรบางชนิดมีเอสโตรเจนปริมาณสูง เช่น กวาวเครือ
อาการและการวินิจฉัย
โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีข้อดีคือ มักมีอาการเตือนแต่แรกเริ่ม ร้อยละ 75 มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว และร้อยละ 30 มีตกขาว มีกลิ่นเหม็น เมื่อก้อนโตขึ้นก็อาจคลำได้มดลูกโต โดยเป็นก้อนเนื้ออยู่เหนือหัวหน่าว ถ้าไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะก็จะทำให้ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ถ้าไปทับลำไส้ตรงก็จะทำให้ท้องผูก ถ้าไปทับเส้นประสาทในอุ้งเชิงกรานก็จะทำให้ปวดหลังตอนล่าง (Low back pain) เรื้อรัง
แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากการตรวจภายในและขูดมดลูกเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หากผลเป็นมะเร็งก็จะทำการเอกซเรย์ปอด และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในช่องท้องเพื่อประเมินระยะของโรคต่อไป
ระยะของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ระยะที่ 0 หรือ Carcinoma in situ เซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะที่เยื่อบุผิวของมดลูก ยังไม่ลามลงไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ
- ระยะที่ I มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะที่ตัวมดลูก โดย
- ระยะ IA เซลล์มะเร็งลงไปในชั้นกล้ามเนื้อยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความหนาของชั้นกล้ามเนื้อ
- ระยะ IB เซลล์มะเร็งลงไปในชั้นกล้ามเนื้อเกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
- ระยะที่ II มะเร็งกระจายไปถึงปากมดลูก (cervical stroma) แล้ว
- ระยะที่ III มะเร็งลุกลามออกไปนอกมดลูก แต่ยังอยู่ภายในอุ้งเชิงกราน โดย
- ระยะ IIIA มะเร็งลามไปถึงท่อรังไข่หรือรังไข่
- ระยะ IIIB มะเร็งลามไปถึงผนังของช่องคลอด
- ระยะ IIIC1 มะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน
- ระยะ IIIC2 มะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองข้างหลอดเลือดแดงเอออร์ตา (para-aortic lymph nodes)
- ระยะที่ IV มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่น โดย
- ระยะ IVA มะเร็งลามไปถึงผนังของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ตรง
- ระยะ IVB มะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่นที่ไกลออกไป เช่น ปอด, กระดูก หรือไปยังต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
นอกจากนั้นยังดูที่ชนิดของเซลล์ต้นกำเนิดว่ามาจาก endometrioid หรือมาจากเซลล์ชนิดอื่นที่ดุร้ายกว่า และยังมีการแบ่งเกรดตามหน้าตาของเซลล์ที่เห็นจากในกล้องจุลทรรศน์ ตั้งแต่เกรด 1-well differentiated, เกรด 2-moderately differentiated, เกรด 3-poorly differentiated, และเกรด 4-undifferentiated อีกด้วย
การรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
การรักษาหลักคือการผ่าตัดมดลูก ปีกมดลูก รังไข่ และบางครั้งผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานออกให้หมด จากนั้นจึงประเมินผลชิ้นเนื้อหลังการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อดูการลุกลามของโรคที่แท้จริงทางพยาธิวิทยา
แพทย์บางท่านแนะนำให้ใช้รังสีรักษาก่อนการผ่าตัด เพื่อให้เซลล์มะเร็งหยุดชะงักการเจริญเติบโต แต่แพทย์บางท่านก็ต้องการตรวจรอยโรคอย่างละเอียดขณะผ่าตัดก่อน แล้วค่อยแนะนำให้ใช้รังสีรักษาหลังการผ่าตัดเฉพาะในรายที่มีโอกาสจะกลับเป็นซ้ำอีก การใช้รังสีรักษามีทั้งการฉายแสงและการฝังแร่
การรักษาตั้งแต่ระยะ IIIC เป็นต้นไป (รวมทั้งเซลล์มะเร็งชนิดที่ดุร้ายและเป็น high grade ของทุกระยะ) จำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย ซึ่งมีทั้งชนิดรับประทาน ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดแดง โดยจะให้เป็นรอบ ๆ คือ มีระยะพักตัวและระยะให้ยาสลับกันไป หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาแล้วผู้ป่วยยังต้องไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมออีกเป็นเวลาหลายปี เพราะมักมีการเกิดซ้ำได้อีกในเวลา 3 ปี
ปัจจุบันยังไม่พบวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกให้พบตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นการดูแลตนเองที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ การรีบไปพบแพทย์เมื่อมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว อัตราการมีชีวิตอยู่จนถึงปีที่ 5 หลังการรักษาในระยะที่ I-II มีสูงกว่าร้อยละ 70