วิตามินดี (Calciferol)
วิตามินดีเป็นสารประกอบประเภท secosteroids ที่พบในอาหารเพียงไม่กี่ชนิด อย่างไรก็ตาม ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด โดยรังสี UVB และความร้อนจะเปลี่ยนสาร 7-dehydrocholesterol ที่อยู่ในผิวหนังให้กลายเป็น cholecalciferol (vitamin D3) การตากแดดจัด ๆ ครั้งละ 5-30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอให้ร่างกายผลิตวิตามินดีได้อย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร
วิตามินดีในอาหารมักอยู่ในรูปของ ergocalciferol (vitamin D2) แหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน นม นมถั่วเหลือง เต้าหู้ โยเกิร์ต ไข่ และเห็ดชิตาเกะ เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การดูดซึมจะดียิ่งขึ้นหากบริโภคร่วมกับอาหารที่มีไขมัน หากร่างกายได้รับวิตามินดีเพียงพอแล้ว ส่วนเกินจากอาหารจะถูกขับออกทางน้ำดี
โครงสร้างของวิตามิน D2 และ D3 คล้ายกัน ต่างกันเพียง D2 มีพันธะคู่ที่ตำแหน่ง C22-23 และมีหมู่เมทิลที่ตำแหน่ง C24 ซึ่ง D3 ไม่มี
ทั้งวิตามิน D2 และ D3 เป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมน 1,25-dihydroxyvitamin D3 (1,25(OH)2D3) หรือ calcitriol โดยเริ่มจากตับเปลี่ยน D2 และ D3 เป็น 25-hydroxyvitamin D (25(OH)D หรือ calcidiol) จากนั้นไตจะเปลี่ยนเป็น calcitriol ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ฮอร์โมนนี้ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย
หน่วยวัดปริมาณวิตามินดี
ในอาหาร หน่วยที่ใช้คือไมโครกรัม (mcg) ของ calciferol
ในเลือด ใช้หน่วย nmol/L หรือ ng/mL วัดระดับ 25(OH)D
โดย 1 nmol/L = 0.4 ng/mL หรือ 1 ng/mL = 2.5 nmol/L
(เนื่องจาก 1,25(OH)2D3 มีค่าครึ่งชีวิตสั้น และควบคุมโดยพาราไทรอยด์ แคลเซียม และฟอสเฟต จึงไม่เหมาะใช้เป็นตัวชี้วัดสถานะวิตามินดี)
ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัดเป็น IU โดย 1 IU = 0.025 mcg หรือ 1 mcg = 40 IU
บทบาทของวิตามินดี
Calcitriol เป็นวิตามินดีที่ออกฤทธิ์แบบฮอร์โมน แม้ไม่ได้สร้างจากต่อมไร้ท่อ มีหน้าที่สำคัญดังนี้
- ร่วมกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในการเพิ่มระดับแคลเซียมในเลือด โดย:
- เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้
- ลดการขับแคลเซียมทางไต
- เพิ่มการสลายแคลเซียมจากกระดูก
เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดปกติแล้ว การหลั่งพาราไทรอยด์จะลดลง และระดับ calcitriol ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
** เราไม่ต้องการผลการสลายกระดูก ดังนั้นการเสริมวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมจึงไม่แนะนำ เว้นแต่มีภาวะกระดูกพรุน
- ควบคุมระดับฟอสฟอรัสในเลือด โดยกระตุ้นให้ไตขับฟอสฟอรัสออกเมื่อเกิดการสลายแคลเซียมจากกระดูก
- ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ ควบคุมการแบ่งตัว การพัฒนาเป็นเซลล์เฉพาะหน้าที่ และการตายของเซลล์อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้ดี
- ลดการอักเสบในร่างกาย
แหล่งของวิตามินดีในธรรมชาติ
แสงแดดเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีที่สุด ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตละติจูด 5-20° จึงเหมาะอย่างยิ่ง โดยการตากแดดทั้งตัวช่วงเวลา 10.30 น. จะสร้างวิตามินดีได้ถึง 2,250-2,500 IU ต่อนาที [14] ดังนั้น เพียงตากแดดบางส่วนของร่างกายวันละ 5-30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอ
สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกแดด อาจพึ่งอาหารที่มีวิตามินดี ได้แก่ ปลาทะเล นม ไข่แดง และเห็ดชิตาเกะ
อย่างไรก็ตาม การปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง เช่น ทอด อบ หรือเวฟนาน ๆ อาจทำให้วิตามินดีสูญเสียไปร้อยละ 20-50
ร่างกายต้องการวิตามินดีวันละ 20 mcg (800 IU) แต่หากได้รับแสงแดดเพียงพอ ต้องการจากอาหารแค่ 5 mcg (200 IU) สำหรับผู้สูงอายุแนะนำ 10-15 mcg (400-600 IU) จากอาหาร เนื่องจากตากแดดน้อย
ผู้สูงอายุสามารถตรวจระดับ 25(OH)D ในเลือด หากไม่ขาดวิตามินดี ไม่ควรเสริมเพิ่ม แต่ถ้าขาด อาจเสริมด้วยวิตามินดีขนาด 400 IU ต่อวัน
ภาวะขาดวิตามินดี
การขาดวิตามินดีเรื้อรังจะนำไปสู่โรคกระดูกอ่อน ในเด็กเรียกว่า Rickets ในผู้ใหญ่เรียกว่า Osteomalacia กระดูกจะอ่อน (ไม่ใช่บาง) จนโก่งงอผิดรูป เคลื่อนไหวแล้วปวดตามตัว กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง ทำให้ลุกยืนลำบาก และเดินแบบเตาะแตะ กระดูกอ่อนอาจรับน้ำหนักไม่ไหวจนเกิดกระดูกหัก
กลุ่มเสี่ยงคือเด็กขาดสารอาหาร ผู้มีปัญหาดูดซึมอาหาร และผู้สูงอายุที่ไม่ได้ออกแดด โดยเฉพาะคนผิวคล้ำซึ่งผลิตวิตามินดีได้น้อยกว่าคนผิวขาว
การวินิจฉัยใช้การเอกซเรย์ และวัดระดับ 25(OH)D <30 nmol/L (<12 ng/mL) ค่าที่สนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ alkaline phosphatase และ parathyroid hormone สูงขึ้น แคลเซียมและฟอสฟอรัสลดลง
แนวทางรักษาคือให้วิตามินดีเสริมวันละ 800-2,000 IU นานอย่างน้อย 2 เดือน จนระดับ 25(OH)D ≥ 50 nmol/L (20 ng/mL) จึงลดขนาดลงเหลือสัปดาห์ละครั้ง ระวังอย่าให้เกิน 125 nmol/L (>50 ng/mL) เพราะอาจเกิดพิษ
พิษของวิตามินดี
การได้รับวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะแคลเซียมสูงในเลือด ส่งผลกระทบต่อหัวใจ ไต และระบบประสาท อย่างไรก็ตาม พิษของวิตามินดีพบได้น้อยมาก เพราะร่างกายสามารถควบคุมการสร้างเองได้ แม้ทำงานกลางแดดทั้งวันก็ไม่เกิดพิษ พิษมักเกิดจากการเสริมวิตามินดีขนาดสูงโดยไม่จำเป็น หรือรับประทานวิตามินหลายชนิดจนสะสมมากเกินไป โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K)
สรุป
วิตามินดีเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากแสงแดด และมีบทบาทสำคัญในสมดุลแคลเซียม ฟอสฟอรัส การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน กล้ามเนื้อ และประสาท การได้รับแสงแดดที่เหมาะสมเพียงพอจะทำให้ไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินดีจากอาหารหรือยา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ค่อยออกแดดหรือผู้สูงอายุควรได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมในขนาดที่เหมาะสม โดยไม่เกินระดับที่อาจก่อให้เกิดพิษ
บรรณานุกรม
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
- "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
- "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Endocrine Control of Calcium and Phosphate Homeostasis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา VIVO pathophysiology. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin D." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
- Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 High Vitamin D Foods." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (31 มกราคม 2563).
- Larry E. Johnson. 2019. "Vitamin D Deficiency and Dependency." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- Larry E. Johnson. 2019. "Vitamin D Toxicity." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (12 กุมภาพันธ์ 2563).
- "UV and Vitamin D calculators." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา VitaminDWiki. (16 กุมภาพันธ์ 2563).