แคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงพบได้ไม่บ่อย ร้อยละ 90 เกิดจากสองสาเหตุหลัก คือ ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากไป หรือจากการกระจายตัวของมะเร็ง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ท้องผูก ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นช้าลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง กลืนลำบาก ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อาจเห็นภาพหลอน สับสน ชัก และโคม่าในที่สุด
หากเป็นจากมะเร็งที่ลุกลาม อาการข้างต้นนี้อาจไม่ชัดนักเพราะผู้ป่วยจะแสดงอาการของมะเร็งส่วนที่แพร่กระจายมากกว่า
หากเป็นจากต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากไปอาการข้างต้นมักเป็นไปอย่างช้า ๆ ร่วมกับมีอาการปวดท้องเรื้อรัง (จากนิ่วที่ไต หรือแผลในกระเพาะอาหาร หรือตับอ่อนอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกัน) และปวดกระดูก
อาการแสดงที่สำคัญคือ รีเฟล็กซ์ไว (generalized hyperreflexia), ลิ้นสั่น (tongue fasciculations), กล้ามเนื้อส่วนต้นขาอ่อนแรงทั้งสองข้างโดยไม่ชา, คลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงลักษณะ short QT interval (short QTc) ถ้าผู้ป่วยกินยา Digoxin อยู่อาจเกิดพิษของยา
สาเหตุของแคลเซียมในเลือดสูง
- มะเร็งระยะแพร่กระจาย เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) มะเร็งไขกระดูก (Multiple myeloma) มะเร็งของกระดูก และมะเร็งของอวัยวะบริเวณศีรษะและคอ แคลเซียมในเลือดที่สูงขึ้นมาจากการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก
- ภาวะที่มีฮอร์โมนพาราไทรอยด์หลั่งมากไป ซึ่งอาจเกิดจากเนื้องอกของต่อมพาราไทรอยด์เอง ภาวะคอพอกเป็นพิษ โรค Familial hypocalciuric hypercalcemia หรือไม่ทราบสาเหตุ (Primary hyperparathyroidism)
- ภาวะที่มีการดูดซึมแคลเซียมจากทางเดินอาหารมากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากพิษของวิตามินดี, โรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis), โรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบแบบแกรนูโลมาตัส เช่น วัณโรค โรคเรื้อน Histoplasmosis Coccidioidomycosis, โรคปอดจากการทำงาน Berylliosis Silicosis, และกลุ่มอาการ Milk-alkali syndrome
- พิษจากยาบางชนิด เช่น ลิเธียม Theophylline Thiazide Aluminum hydroxide
- โรค/ภาวะอื่น ๆ ได้แก่ Addison disease, Myxedema, Neuroleptic malignant syndrome, การนอนติดเตียงนาน ๆ, พิษจากวิตามินเอ
แนวทางการวินิจฉัย
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงมักมาคู่กับประวัติโรคเดิมของคนไข้ที่เสี่ยงต่อภาวะนี้ เช่น เคยเป็นมะเร็งที่ใดที่หนึ่งมาก่อน มีโรคติดเชื้อเรื้อรัง มีโรคปอดจากการทำงาน รับประทานยา ลิเธียม Theophylline Thiazide Aluminum hydroxide ในขนาดสูง หากไม่มีประวัติเหล่านี้เลยต้องสงสัยภาวะที่มีฮอร์โมนพาราไทรอยด์หลั่งมากไป ซึ่งต้องส่งตรวจระดับของฮอร์โมนพาราไทรอยด์
หากระดับของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ แสดงว่าต่อมพาราไทรอยด์ทำงานปกติ (เพราะแคลเซียมในเลือดสูง ต่อมจะหลั่งฮอร์โมนออกมาน้อยลง) ขั้นต่อไปต้องตรวจหาระดับของวิตามินดี 25(OH)D (Calcidiol) และ 1,25(OH)2D (Calcitriol)
- ภาวะวิตามินดีเป็นพิษ --> Calcidiol จะสูง (ฟอสเฟตในเลือดก็จะสูงด้วย)
- ภาวะที่มีการติดเชื้อเรื้อรังแบบ granulomatous หรือ lymphoproliferative --> Calcitriol จะสูง
- ถ้าไม่มีตัวใดตัวหนึ่งสูงแสดงว่าเป็นจากมะเร็ง ซึ่งถ้าไม่มีประวัติมาก่อนก็ต้องตรวจหาให้ดี
หากระดับของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ไม่ต่ำ (อาจสูงหรือปกติ) จะเหลือโรคที่จะต้องแยกอยู่เพียง 2 โรค คือ Familial benign hypocalciuric hypercalcemia ซึ่งจะมีแคลเซียมออกมาน้อยในปัสสาวะ (urine calcium to creatinine ratio <0.01, urine calcium <200 mg/day) และผู้ป่วยมักไม่มีอาการอะไร กับภาวะ Hyperparathyroidism ซึ่งแคลเซียมในปัสสาวะปกติ และคนไข้มีอาการปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ซึมเศร้า เบื่ออาหาร ท้องผูก ฯลฯ ดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้น ขั้นต่อไปคือการส่งตรวจปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะ/วัน หรือส่ง Spot urine calcium กับ urine creatinine
ภาวะ Hyperparathyroidism มี 3 ลักษณะคือ
- Primary hyperparathyroidism เกิดจากตัวต่อมพาราไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนมากเกินไปเอง มักพบในเพศหญิงวัยหลังหมดประจำเดือน ผู้ป่วยที่เคยรับการฉายรังสีรักษาบริเวณลำคอ หรือเป็นกรรมพันธุ์ Primary hyperparathyroidism ฟอสเฟตในเลือดจะต่ำ
- Secondary hyperparathyroidism เกิดจากไตวายจนไม่สามารถเปลี่ยนวิตามินดีเป็นรูปแอ็คทีฟได้ แคลเซียมในเลือดช่วงแรกจะต่ำ จึงกระตุ้นให้ต่อมพาราไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนออกมามากขึ้น ภายหลังระดับแคลเซียมในเลือดจึงขึ้นมาปกติหรือสูงขึ้นเล็กน้อย Secondary hyperparathyroidism ฟอสเฟตในเลือดจะสูง
- Tertiary hyperparathyroidism เกิดจากภาวะ Secondary hyperparathyroidism เป็นเวลานานหลายปีจนต่อมพาราไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนไม่หยุดไม่ว่าระดับแคลเซียมในเลือดจะเป็นเท่าใด และแม้ว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่แล้วก็ยังเป็นอยู่ แคลเซียมและฟอสเฟตในเลือดที่สูงตลอดเวลาจะจับกันกลายเป็นนิ่วอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ
แนวทางการรักษา
ผู้ป่วยที่มีแคลเซียมในเลือดสูงจะอยู่ในภาวะขาดน้ำแทบทุกราย ดังนั้นการรักษาจึงควรให้น้ำชดเชยให้เพียงพอก่อน ปกติควรให้เป็น Normal saline 2-4 ลิตร/วัน เป็นเวลา 1-3 วัน แล้วแต่ความรุนแรงของสภาพขาดน้ำของคนไข้ เพียงการให้น้ำนี้ก็สามารถลดระดับแคลเซียมลงได้ 1-3 mg% แล้ว จากการที่ปัสสาวะออกเพิ่มขึ้น แต่ควรระวังในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจโต หรือเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน
ยาลดระดับแคลเซียมมีหลายกลุ่ม ได้แก่
- Oral phosphate สำหรับแคลเซียมที่ไม่สูงมาก (<11.5 mg/dL) และไม่มีโรคไต ฟอสเฟตที่กินเข้าไปจะจับกับแคลเซียมในทางเดินอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมเข้ากระแสเลือด อาจให้เป็น NaPO4 หรือ KPO4 ขนาด 250 mg วันละ 4 ครั้ง ถ้าไม่มีท้องเสียก็เพิ่มได้จนถึง 250 mg วันละ 4 ครั้ง
- ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Furosemide ขนาด 10-20 mg ฉีดร่วมกับการให้น้ำเกลือ เพื่อยับยั้งไม่ให้ท่อไตส่วนปลายดูดแคลเซียมกลับ เพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไต (กรณีไตวายวิธีนี้จะใช้ไม่ได้, กรณีที่คนไข้ขาดน้ำมากควรให้น้ำให้พอก่อนเริ่มฉีด Furosemide) วิธีนี้มักจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำลงด้วย ต้องคอยเช็คและให้โพแทสเซียมชดเชย
- ยากลุ่ม Bisphosphonates ออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก มักใช้ในรายที่มีสาเหตุจากมะเร็ง แต่ยาจะออกฤทธิ์ช้า เห็นผลในเวลา 72 ชั่วโมง ยาที่ใช้มีหลายตัว เช่น
- Pamidronate (Aredia) ขนาด 60 to 90 mg IV drip in 4 hours
- Zoledronic acid (Zometa) ขนาด 4 mg IV drip in 15 minutes
การใช้ยากลุ่มนี้ต้องระวังพิษต่อไต และในกรณีที่สาเหตุเกิดจาก hyperparathyroidism อาจมี rebound hypercalcemia and hypophosphatemia
- ยากลุ่ม Calcitonin ออกฤทธิ์เพิ่มการสะสมแคลเซียมที่กระดูก มักใช้ในกรณีที่แคลเซียมในเลือดสูงมาก ควรให้หลังชดเชยน้ำจนพอแล้ว ยาที่มีคือ Calcimar หรือ Miacalcin ขนาด 4-8 IU/kg ฉีด IM หรือ SQ ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ อาเจียน ปวดท้อง หน้าแดง และอาจมี rebound hypercalcemia เมื่อหยุดยา
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ ออกฤทธิ์ยับยั้งการเปลี่ยนวิตามินดีเป็นรูปแอ็คทีฟ เพื่อลดการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร และลดพิษจากวิตามินดี ขนาดที่ใช้คือ Hydrocortisone 200 mg IV x 3 วัน
- ยากลุ่มคลอโรควิน ออกฤทธิ์ยับยั้งการเปลี่ยนวิตามินดีเป็นรูปแอ็คทีฟ มักใช้ในกรณีที่สาเหตุมาจาก Sarcoidosis ขนาดที่ใช้คือ Chloroquine phosphate 500 mg รับประทานวันละครั้ง
ผลข้างเคียงของยานี้เมื่อไปนาน ๆ คือตามัวจากพยาธิสภาพที่จอตา จึงต้องตรวจจอตาทุก 6 เดือน
- ทำการฟอกเลือด (dialysis) กรณีที่แคลเซียมในเลือดสูงเกิน 18 mg/dL และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในภาวะไตวาย
นอกจากแก้ให้แคลเซียมในเลือดลดลงแล้วยังต้องแก้ที่สาเหตุด้วย
บรรณานุกรม
- MARY F. CARROLL, et al. "A Practical Approach to Hypercalcemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2003 May 1;67(9):1959-1966. (1 มิถุนายน 2560).
- James L. Lewis, III. "Hypercalcemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual Professional version. (1 มิถุนายน 2560).
- Thomas E Green. "Hypercalcemia in Emergency Medicine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape (1 มิถุนายน 2560).